“ลีโอ พุฒ” อัพเดทอาการ “น้องคีตะ” หลังหวิดตาบอด เพราะเล่นกับเพื่อน
อุบัติเหตุเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อเลยทีเดียว หลังจากที่ “น้องคีตะ คีต ศรีวัฒน์” ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของนักร้องนักแสดงชื่อดังอย่าง “ลีโอ พุฒ หรือ พุฒิพงศ์ ศรีวัฒน์” ได้เกิดอุบัติเหตุทางดวงตาจนเข้ารักษาที่โรงพยาบาลอยู่สักพักหนึ่ง หลังจากที่ได้เล่นกับเพื่อนด้วยความไม่ระมัดระวัง ล่าสุดเจอเจ้าตัวเลยขออัพเดทถามถึงอาการของน้องสักหน่อย ว่าตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง
เป็นอุบัติเหตุที่เล่นกับเพื่อนเป็นปืนอัดลมเข้าตา แต่ตอนนี้คุณหมอช่วยแล้ว แล้วก็กลับมาบ้านพักฟื้น ก็ไม่มีอะไรแล้ว เพื่อนบังเอิญยิงโดนแม่นเหลือเกิน ความรุนแรงก็ซีเรียสนะครับมันก็ต้องกลับมาผ่าตัดแล้วเอาเลือดที่คั่งในตาออก ตอนนี้ก็พักฟื้นเพื่อให้ประสาทตาได้พักฟื้น แต่หมอบอกว่าจะกลับมาปกติ ต้องติดตามตลอดเวลา เพราะว่าคนที่มีอุบัติเหตุที่ตาก็จะมีความเสี่ยงในการเป็นต้อหินมากกว่าคนปกติก็ต้องไปเช็คสุขภาพทุกปี ใช้เวลารักษาอยู่เป็นเดือนอยู่แล้วตอนนี้ก็ต้องขอความเข้าใจกับทางโรงเรียนด้วยว่าตอนนี้เรายังไม่กล้าปล่อยให้ไปเรียนหนังสือจริงๆ เพราะถึงแม้คุณหมอจะผ่าตัดแล้วก็ยังห้ามไม่ให้มีการกระทบกระเทือน การมองยังเห็นไม่ชัดหรอก เพราะมันบวมอยู่ ก่อนผ่าหมอบอกไม่ถึงกับเสี่ยงตาบอด
ยอมรับตอนแรกที่ทราบข่าวตกใจมาก หมดแรง แต่สุดท้ายพอมันผ่านไปได้ก็ทำให้เข้าใจชีวิตมากยิ่งขึ้นมันก็ไม่มีอะไรแน่นอน นี่ก็เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ลูกได้สอนแล้วให้บทเรียนเราอีกแล้วว่าควรจะมีสติแล้วก็ระมัดระวังอะไรให้มากกว่านี้ ต่อไปห้ามไม่ให้น้องเล่นเลยมันคงจะเป็นไปได้ยากเด็กพอไม่เจ็บเขาก็ซนเหมือนเดิม มันก็คงจะต้องอบรมแล้วก็สอนให้เขารักตัวเองมากยิ่งขึ้น แล้วก็ระมัดระวังมากยิ่งขึ้น น้องไม่เข็ดนะ เห็นก็ซนแล้ว
ส่วนทางคู่กรณีก็ได้คุยกันแล้ว ตอนแรกโกรธโดยธรรมชาติของพ่อก็โกรธนะ โกรธมากด้วย แล้วก็คิดอะไรฟุ้งไปหมด แต่ลูกไม่โกรธ มันก็เป็นอีกอันที่เขาสอนเราว่ามันก็ต้องรู้จักให้อภัยเพราะเรื่องแบบนี้ไม่มีใครอยากให้มันเกิดขึ้นมาโดยเฉพาะอย่างยิ่งลูกของตัวเอง คือถ้าเกิดเลือกได้ให้เกิดกับตัวเองยังดีซะกว่า แต่ว่าในเมื่อมันเกิดแล้ว มันก็ต้องรับมือกับ สถานการณ์ให้มีสติและเรียบร้อยที่สุด และสิ่งที่จะประเสริฐที่สุดที่คนสามารถทำได้ก็คือการไม่ผูกใจเจ็บแล้วก็การให้อภัย ผมยอมรับนะว่ามันเป็นทางแยกที่ยากมากๆสำหรับผมที่ต้องเห็นลูกเจ็บ แต่ถ้าลูกทำได้ผมก็ต้องทำได้ แต่คงไม่มีไปทำร้ายร่างกายอะไรอย่างนั้นแน่นอน แต่ถามว่าเคยคิดจะเอาเรื่องทางกฎหมายไหมก็มีแต่ว่ามันก็ไม่มีประโยชน์สุดท้ายมันก็ไม่ได้ทำให้ทุกอย่างดีขึ้น จริงๆ ผมควรจะใช้เหตุการณ์นี้วิกฤตินี้ได้การอบรมเขามากกว่า แสดงให้เขาเห็นถึงความเข้มแข็ง แสดงให้เขาเห็นถึงประโยชน์ของการให้อภัยมากกว่า น่าจะใช้โอกาสนี้สอนลูกให้มีระดับจิตใจที่สูงขึ้น แทนที่จะไปอาฆาตไปโกรธไปเกลียดเขามันไม่มีประโยชน์ คู่กรณีได้ขอโทษ เขาก็มาขอโทษแต่ผ่านไปหลายวันจนเขารู้ว่าเรื่องนี้มันซีเรียส ครับ ก็ให้อภัย เขาก็รับผิดชอบทำตามกำลัง คู่กรณีก็ไม่ได้มีเงินมากมาย แล้วผมก็ไม่ได้เรียกร้องอะไรก็แล้วแต่เขาเลย เป็นเพื่อนของน้อง แล้วพ่อก็เป็นเพื่อนกันด้วย เรื่องแบบนี้ถ้าเป็นเรื่องอื่นมันง่าย แต่เรื่องนี้ผมยอมรับเลยว่ามันยากมาก
ต่อจากนี้เราต้องเข้มงวดกับการเล่นของเขามากๆ เลยเพราะเล่นแบบนี้ก็มีโอกาสทำให้ลูกคนอื่นเจ็บเหมือนกัน ไม่ใช่แค่ตัวเขา ก็อยากจะฝากถึงผู้ปกครองด้วยการเลือกของเล่นให้ลูกต้องเลือกให้เหมาะสมกับวัยและความยังคิดของเขาแล้วก็สติในการที่จะเล่นเพราะเด็กเขาเล่นไม่คิดหรอกเขาซน