“วิลลี่ แมคอินทอช” เผยชีวิตหลังสูญเสียคุณแม่ เล่าเรื่องลับโดน “เสนาหอย” แกล้งแรงจนเสียน้ำตา
ออกมาเปิดเผยถึงเรื่องราวชีวิตที่ต้องเข้มแข็งและเป็นหัวหน้าครอบครัว หลังคุณแม่ “ยุรภรณ์ แมคอินทอช” วัย 86 ปี จากไปอย่างกะทันหันที่ประเทศอังกฤษ สำหรับ “วิลลี่ แมคอินทอช” โดยเจ้าตัวได้เปิดใจถึงความสูญเสียครั้งนี้ พร้อมเล่าเรื่องลับโดน “เสนาหอย” แกล้งแรงจนเสียน้ำตา ในรายการ “คุยแซ่บShow”
ว่าตอนนี้โอเคแล้ว จริงๆ โอเคมาตั้งแต่วันที่ 3 หลังคุณแม่เสียแล้ว เพราะเราจะรู้ว่าคนเสียชีวิตไปแล้ว 3 วันเขาจะรู้ตัว พอเขามองกลับมาเขาจะเห็นว่าลูกๆ อยู่ได้ ไม่ใช่ว่ายังติดพันอยู่กับความทุกข์ทรมานต้องเดินหน้าให้ได้ คือถ้าผมเกิดเป็นอะไรไป ลูกผมต้องอยู่ให้ได้เท่านี้แหละที่พ่อแม่ต้องการ เราก็จัดงานให้ดีที่สุด ทำทุกอย่างให้ถูกต้องดีที่สุดหลังจากนั้นเราก็ต้องเดินหน้า เราก็จะจำในสิ่งดีๆ ของคุณแม่เอาไว้ นึกถึงแม่แล้วไม่ร้องไห้ นึกถึงแม่แล้วต้องยิ้ม เพราะแม่ผมก็ตลกเหมือนผม
พร้อมเล่าเหตุการณ์วันเกิดเรื่อง บอกวันนั้นมันคือเช้าวันที่เราเตรียมตัวจะกลับเมืองไทย ไฟต์ตอนเที่ยง เพราะฉะนั้นผมก็บอกทุกคนว่าเดี๋ยวผมจะเอากระเป๋าลงไปล็อบบี้ ซึ่งทุกคนก็แต่งตัวอาบน้ำ แล้วผมก็บอกว่าเดี๋ยวมารับคุณแม่ไปทานอาหารเช้า ผมก็หิ้วกระเป๋าลงไป ก็บอกพนักงานว่าเอารถเข็นไปขนกระเป๋นที่เหลือข้างบน ซึ่งก็มีพนักงานขึ้นไปกับผมข้างบนหนึ่งคน ขึ้นไปถึงก็อ่าว.. ทำไมลูกถึงไม่อาบน้ำแต่งตัว อ่อคุณย่ายังไม่ออกมาจากห้องน้ำ เราก็บอกว่านานแล้วนะ ก็เลยเปิดประตูเข้าไปดู ตอนนั้นให้พนักงานช่วยพอเข้าไปมือคุณแม่ยังกำแปรงสีฟันอยู่ ก็เป็นหน้าที่เราจับว่าคุณแม่ยังหายใจอยู่หรือเปล่า แล้วก็เรียกคนมาเพื่อปั้มหัวใจแต่ก็ปั้มไม่ขึ้นแล้ว ในขณะที่ปั้มเราก็บอกแหม่มว่าคุณแม่ไม่หายใจแล้วนะ ไม่รู้ว่าจะปั้มขึ้นหรือเปล่า หลังจากนั้นแหม่มก็มา ตำรวจก็มา เขาก็ปั้มหัวใจไปเรื่อยๆ เราก็นั่งมอง และก็หันมาบอกว่ารู้รึเปล่าว่าญาติถึงจะบอกให้หยุดได้ และเขาก็ปั้มมา 20 นาทีกว่าแล้วเราก็บอกให้หยุดเถอะเพราะรู้ว่าคุณแม่คงไม่ฟื้นขึ้นมาแล้ว จะได้ขั้นตอนต่อไปได้ อาการก็คือหัวใจล้มเหลวเฉียบพัน มันจะเกิดขึ้นตอนเช้า อย่างที่คุณหมออธิบายคือตอนที่เราหลับอยู่เลือดเราเดินช้ามาก ถ้าเรามีปัญหาเรื่องหลอดเลือดหรืออะไรอยู่แล้ว และไฟต์เช้าพอคนปลุกปุ๊บแล้วรีบลุกขึ้นมาจับเสื้อผ้าทำนั่นทำนี่ นี่แหละที่จะทำให้
ส่วนเรื่องที่พี่หอยก็เคยทำให้พี่วิลลี่ร้องไห้จริงๆ มีอยู่ครั้งหนึ่งผมถือว่าผมเป็นเพื่อนเลวเลยนะ คือตอนนั้นเราร่วมกันทำบริษัทแล้ว แล้วผมก็อยากรู้นะว่าเขาห่วงเราขนาดไหน อยากรู้ว่าเป็นเพื่อนหรือแค่หุ้นส่วน ก็ไปออกรายการๆ หนึ่ง เราทำรายการเกี่ยวกับคาเมร่าอยู่แล้ว ตอนนั้นใช้ชีวิตด้วยการขี่มอเตอร์ไซต์ตลอด เลยบอกให้เขาโทรกลับไปที่ออฟฟิตบอกว่าผมมอเตอร์ไซต์คว่ำ ก็มาทั้งออฟฟิต ผมนอนอยู่ที่ไอซียูเฉยๆ เอาทีมอาร์ตมาช่วย มีปาดดินมีเลอะเทอะ คนที่เข้าไปคนแรกคือวิลลี่ คือผมพูดคำเดียวว่ากูยังเตะบอลได้ปะวะ แล้ววิลลี่ก็น้ำตาไหล เหมือนละครไทยเลย ผมบอกเลยว่าเอาจิตใจเพื่อนมาเล่น
วิลลี่ : ผมคิดว่าเขาไม่เป็นอะไรมาก เพราะใส่หมวกกันน็อก และพอเขาทักว่าเขาจะเตะบอลได้มั้ย ตอนนั้นผมคือเส้นประสาทขาดแน่เลยเพราะเขาไม่รู้สึกที่ขาเราก็คิดเลยว่าเขาเดินไม่ได้แล้ว เราร้องไห้เพราะคิดว่าเขาพิการ พอเฉลยแล้วว่าไม่เป็นไรเราก็ไม่ได้โกรธเพราะแกล้งคนไว้เยอะมันก็บาปกรรมกลับมาที่เรา แล้วดีใจที่เขาไม่เป็นอะไรจริงๆ ถ้าเป็นขึ้นมาก็ภาระเลยเพราะเขาเป็นหัวหน้าครอบครัว