เปิดเส้นทางก่อนจะดัง! “เก้า จิรายุ” จากดาราเด็ก สู่พระเอกแถวหน้า
โลดแล่นอยู่ในวงการบันเทิง จากวันนั้นจนถึงวันนี้ 20 กว่าปีแล้ว สำหรับนักร้อง นักแสดงสุดติสต์ “เก้า จิรายุ ละอองมณี” แต่กว่าจะมีชื่อเสียงโด่งดังได้อย่างวันนี้ผ่านเรื่องราวต่างๆมากมาย จากดาราเด็กสู่พระเอกแถวหน้าของเมืองไทย ล่าสุดเจ้าตัวได้ออกมาเปิดใจเส้นทางก่อนจะดังให้ฟังว่า
อ่านข่าวต่อ : เปิดตัวรถหรูในฝัน “เก้า จิรายุ”
จากวันนั้นจนถึงตอนนี้ 20 ปีแล้วในวงการบันเทิง ใช่ครับตอนแรกผมเริ่มจากการถ่ายโฆษณา ก็คือฟลุคๆ ไม่ได้ตั้งใจ พารุ่นพี่ของผมไปแคสติ้ง ผมอาสาขับรถไปให้ โมเดลลิ้งก็ถ่ายรูปผมไว้ ผมก็ได้งานแบบฟลุคๆ มาเรื่อยๆ โฆษณาอันแรกประมาณ 2 ขวบ ตอนนั้นมันไม่ต้องทำอะไรเยอะ ผมจำไม่ได้ด้วยซ้ำ คุณแม่ก็เล่าให้ฟัง เรื่องเล่นละครจริงๆจังๆ ก็ประมาณ 6 ขวบ ชื่อเรื่อง “ผีขี้เหงา” ตอนนั้นมันเริ่มมีบทเยอะ ต้องใช้ผู้ช่วย ก็แม่ผมนี่แหละอ่านให้ฟัง เราก็ฟังจำไป และด้วยความที่เรายังเด็ก ก็งอแงบ้างเวลาง่วงแค่นั่นเอง
บางคำพูดที่บอกว่าแม่เอาเรามาหากิน เรารู้สึกยังไงกับประโยคเหล่านี้จริงๆ ก็ไม่ใช่ มันคือโอกาส ถ้าให้ผมมอง ถ้าผมไม่ได้ทำ ทุกวันนี้ผมไม่ได้มีอาชีพ ไม่ได้มีเงิน ไม่ได้มีทุนชีวิตที่พิเศษขึ้นมา ผมก็ไม่ได้สบายแบบทุกวันนี้ จริงๆ ต้องขอบคุณเขาด้วย ผมพูดในมุมเด็กทุกคน เด็กทุกคนไม่เหมือนกัน ผมอาจจะโชคดีที่ผมมีโอกาส แล้วผมเองก็ไม่ได้ต่อต้าน ถ้าฝากถึงคุณพ่อ คุณแม่ท่านอื่นๆ ก็ดูลูกคุณ ถ้าเขาไม่อยากทำก็ไม่ต้องไปฝืน
มีช่วงหนึ่งที่หายไปแล้วกลับมาวงการอีกครั้ง ต้องบอกเลยว่าผมโชคดี ที่ผมอยู่มาได้ถึงทุกวันนี้ดวงก็เป็นเหตุผลหลักเหมือนกัน เพราะว่าการที่คนหายไปปีนึงมันก็นานพอสมควร ถ้าเกิดว่าเขาจะลืมไม่ได้เอาเรามาทำงานคงเป็นเรื่องปกติ แต่ผมโชคดีปีนึงมีงานติดต่อเข้ามาพอดี แล้วแม่ก็ถามว่าอยากทำไหม ถ้าไม่อยากทำก็ไม่เป็นไร เรื่องแรกผีขี้เหงา ละครผีถ่ายกลางคืน เด็กมันไม่ใช่เวลาที่มานั่งทำงาน มันต้องนอน เหนื่อยมาก พอพักปีนึงมันก็หายเหนื่อย แล้วก็น่าจะสนุกดี จริงๆ ประสบการณ์ถ้าไม่นับว่าเหนื่อย มันก็ดีนะอยู่ในกองถ่าย มันมีคนมาเอ็นเตอร์เทนเรา มีเพื่อน มีผู้ใหญ่
เคยรู้สึกว่าชีวิตวัยเด็กและวัยรุ่นของเรามันหายไปมั้ย มันก็มีส่วนนึงที่หายไป ยอมรับพูดตรงๆ มันมีสิ่งที่เราได้ไป แล้วก็เสียก็แลกกัน ที่ผมมารู้สึกมากๆ หน่อยเป็นช่วงมัธยม เราอยากทำกิจกรรม ผมเล่นกีฬาด้วย บางทีถ้าไม่ได้ไปโรงเรียน 3-4 วัน มันขาดตอน ไม่รู้เรื่อง มันก็มีฟิวที่เซ็งเหมือนกัน เราก็ทำไป แม่ผมพยายามไม่รับงานมากเกินไป ถ้าเป็นไปได้ เขาอยากให้เราไปเรียนมากกว่า เมื่อมันมีโอกาสมาใจนึงก็อยากทำ ใจนึงเราก็อยากพัก ก็ยังดีว่าเราฝืนทำไปก่อน อาจจะไม่ได้ 100% เหมือนคนอื่น แต่ว่าก็เท่าที่เราทำไหว ทีนี้มันรู้สึกว่าคุ้มค่ามากเลยที่เราไม่เลิกไปก่อน ถือว่าโชคดีครับ
มีช่วงนึงติสท์แบบไม่รับงานเลย ก็รับยาก มีตอนเด็ก แล้วก็ช่วงวัยรุ่นนี่รับอยู่ แค่แบบกว่าจะรับอะไรสักอย่างได้ก็ยาก แต่จริงๆ ก็ยังเป็นมาถึงทุกวันนี้ แต่เรื่องรับงานถ้าเรารู้สึกว่าเราทำแล้วมันไม่ดี หมายถึงใจเราไม่อยากทำ แล้วเราจะไม่ค่อยทำการบ้านกับมัน เราไม่เต็มที่ ผมรู้สึกว่าผมไม่รับดีกว่า รับเฉพาะสิ่งที่ผมคิดว่าคนดูเขารู้สึกว่ามันเต็มที่ คนที่ทำงานกับเรา จ้างงานเรามันคุ้มค่าด้วย
เคยมีช่วงที่เรามีชื่อเสียง หลงตัวเอง เราเคยเป็นบ้างไหม ผมไม่แน่ใจว่าผมหลงตัวเองหรือเปล่า ผมก็มีข่วงที่หลุดไปเหมือนกัน เราโฟกัสผิดจุด เหมือนเราเหนื่อย ผมจะเป็นคนที่เหมือนคนที่ทำงานตั้งแต่เด็กๆ ก็จะมีช่วงเวลาที่ผมว่าง ช่วงเวลาที่ผมพัก ผมรู้สึกว่าผมต้องพักจริงๆ ต้องแบบไม่มีใครมายุ่งกับผม มันก็จะมีช่วงเวลาพวกนั้นเหมือนกัน บางทีเมื่อเวลามันพักไม่พอ เราก็กลายเป็นคนนิสัยไม่ดีเหมือนกัน
ซึ่งที่ผ่านมาเรารู้สึกว่าเรานิสัยไม่ดีกับหลายๆ คน โดยที่เราไม่ได้ตั้งใจ บางทีเราอาจจะเป็นคนที่นิสัยดีกว่านั้นได้ ตอนที่คนมาคุยกับเรา มาถ่ายรูปกับเรา เราสามารถเฮฮากับเขาได้มากกว่านี้ นี่คือสิ่งที่ผมคิดนะ ผมมองว่ามันไม่ใช่หลงตัวเองหรอก มันอาจจะเป็นช่วงเวลาที่มันเหนื่อยมากๆ แล้วช่วงเวลาที่เราทำได้ดีกว่านั้น ถ้าเรามองมุมกว้าง