เปิดใจ “หนึ่ง มาฬิศร์” ก้าวผ่านมรสุมชีวิตอย่างมีสติ
ถือว่าเป็นนักแสดงยุค 90 ที่มีชื่อคนหนึ่ง สำหรับ “หนึ่ง มาฬิศร์” มีผลงานที่เป็นที่รู้จักหลายเรื่องทางช่อง 7 แต่แล้วก็ถูกมรสุมข่าวถล่มชีวิตในวงการบันเทิงพังทลายไป กว่าจะกลับมาทำงานบันเทิงได้อีกหน เขาต้องต่อสู้หลายปี หันเหไปทำงานหนังสือ ก่อนที่จะกลับมาทำงานเบื้องหลังอีกครั้ง และนี่คืออัปเดตชีวิตในวันนี้ของ “หนึ่ง มาฬิศร์”
หนึ่งมาทำงานอะไรในกองละคร
ตอนนี้ไปทำงานเป็นเบื้องหลัง 5 ปีแล้ว มีเล่นบ้างถ้ามีบท บทที่พอเล่นได้ ชีวิตก่อนหน้านี้เป็นบ.ก.อยู่ 5 ปี เป็นแมกกาซีนของมหาวิทยาลัย เป็นฮาร์ดก๊อปปี้นิตยสารแจกให้ทุกมหาวิทยาลัย ปกเราก็ใช้นายแบบ-นางแบบที่ยังเรียนอยู่ เสื้อผ้าก็เป็นของพวกเด็กที่เรียนดีไซเนอร์หรือแฟชั่นดีไซน์ของมหาวิทยาลัยต่างๆ ก็ทำให้มหาวิทยาลัยกรุงเทพอยู่ 3 ปี ช่วงน้ำท่วมก็มีละครเข้ามา เราก็ออกมารับงานละคร ตอนนี้คือเล่นที่ไหนก็ได้ อายุขนาดนี้แล้วใครจ้างก็ได้ เราไม่ติดว่าจะต้องเป็นช่องนั้นช่องนี้ ในกองเราเป็น ลิโบโร ทำทุกอย่าง ดูนักแสดง บางเรื่องก็ได้เขียนบท ส่วนใหญ่ก็จะเป็นผู้ช่วย ถือว่าเป็นพนักงานคนหนึ่ง ออกกองปกติ
มองการเปลี่ยนแปลงวงการบันเทิงเป็นอย่างไร
ยุคนี้มันเป็นยุคของโซเชียล เป็นยุคของซีรีส์ จริงๆ การทำงานมันเป็นเหมือนเดิม แต่มันถูกกระชับให้เร็วขึ้น ทุกอย่างมันเร็วขึ้นไปหมด มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อดีคือมันตอบสนองผู้บริโภคได้เร็ว ส่วนข้อเสียพอมันเร็วมันก็ขาดความเป็นสุนทรียภาพ บทละครเมื่อก่อนมันจะมีความละเมียดละไม มีคำสอน แต่เดี๋ยวนี้มันไม่ใช่ มันเรียลขึ้น
มองกระแสซีรีส์วายอย่างไร
เมื่อก่อนซีรีส์วายไม่น่าจะเกิดได้ แต่ตอนนี้กลายเป็นของฮิต เราว่ามันก็เป็นกระแสของแต่ละยุคแต่ละสมัย แต่ว่าช่วงนี้ด้วยความที่ว่ามันมี ไลน์ทีวี มีสื่อที่ฟรีทีวีที่ไม่มีเซนเซอร์ หรือที่เขาตีกรอบเอาไว้ วายก็มาจากญี่ปุ่น จีนฮิต เกาหลีฮิต มันก็ตามยุคตามสมัย วายอาจจะอยู่ได้ แต่ถ้าถามคนแมสหลักๆ เลย คุณป้า คุณย่า คุณยาย ต่างจังหวัดเขาไม่รู้จัก รู้เฉพาะบางกลุ่ม แต่ก็ต้องยอมรับว่าเขามาแรง
“หนึ่ง” ผ่านช่วงมรสุมข่าวมาได้อย่างไร
หนึ่งคือสติ สองคือคุณพ่อคุณแม่ และก็กัลยาณมิตรที่อยู่รอบข้าง ไม่ถึงกับเฟลหรือหนักหน่วงเลย เรารู้สึกดีด้วยซ้ำ ไม่เกิดเหตุร้ายในชีวิตเราก็จะไม่เห็นว่าใครที่อยู่กับเรา คนที่อยู่กับเราก็มีเยอะแยะ บางทีคนทั่วไปที่เราไม่รู้จัก อย่างเรานั่งกินข้าวอยู่เขาก็เดินเข้ามาทักทาย เรื่องธรรมะคุณแม่ก็เป็นคนสอน เรื่องพวกนี้ตั้งแต่เด็กๆ แล้ว เเม่ชอบเข้าวัด สวดมนต์ให้ฟัง เรื่องสติ เรื่องกรรม เรื่องการกระทำ มันก็ทำให้เรายอมรับได้มากขึ้น เราเรียนรู้ที่จะยอมรับทุกอย่างให้ง่ายขึ้น กว่าจะยืนเข้มแข็งได้เราไม่ได้ใช้เวลาเป็นปี เรามีสติทุกอย่างมันกลับมาภายในหนึ่งอาทิตย์ที่ยอมรับตัวเองได้ แต่การเที่ยวในสังคมก็ประมาณ 1-2 เดือนกลับมาใช้ชีวิตปกติที่สุด
กับ “เหม” ที่เพิ่งเสียไป ก็ทราบว่าสนิทกันพอสมควร ผมรู้จักคนที่ป่วยซึมเหงาสนิท สนมประมาณหนึ่ง แต่หลายคนกลับเอาอาการซึมเศร้ามาปะปนกับโรคซึมเศร้า คนเรามีอาการซึมเศร้าได้ มีเบื่อ มีท้อ มันแยกเป็นอาการกับโรค บางคนอาการซึมเศร้ามาอ้างว่าเป็นโรคซึมเศร้ามันก็ไม่ถูก มันต้องให้หมอวินิจฉัย ดูตัวอย่าง “เหม” ที่อยู่ในกองละคร เราเคยเล่นเป็นพ่อเขา เราก็รู้สึกว่าเขาไม่ได้ป่วยอะไร เขาดูปกติมากๆ สำหรับเรา มีบางช่วงที่เข้าฉากกันเรามองเข้าไปในตาเขาแล้วเรารู้สึกว่าเขาไม่แฮปปี้ เราก็คิดว่าคงไม่ใช่อะไรมั้ง มันแวบเดียว
สถานะตอนนี้เป็นไง
ทุกวันนี้ยังไม่ได้แต่งงาน ทุกวันนี้ก็ดูแลตัวเองให้รอด เหลือภาระตัวเอง แล้วปลายปีนี้เราก็ 50 ปีแล้ว มันก็ต้องหาทางจะดูแลตัวเองอย่างไรไม่ให้ไปเป็นภาระคนอื่น