“ฟรอยด์” ชี้แจงครั้งแรก ขอปกป้องชื่อเสียงตัวเอง
เรียกว่าเป็นประเด็นที่สังคมให้ความสนใจในช่วงก่อนหน้ากับประเด็นนักศึกษาสาวโพสต์อ้างผ่านเฟซบุ๊กกรณีถูกนักแสดงหนุ่มอักษรย่อ ฟ. มอมยาโดนเยลลี่กัญชา งานนี้ทำเอาหลายคนพุ่งเป้าไปที่นักแสดงหนุ่มสายฮาอย่าง “ฟรอยด์ ณัฏฐพงษ์ ชาติพงศ์” ซึ่งในเวลาต่อมาเจ้าตัวได้ออกมาให้สัมภาษณ์ผ่านรายการดังถึงประเด็นดราม่าที่เกิดขึ้น ล่าสุดมีโอกาสได้เจอตัวหนุ่ม “ฟรอยด์” ได้ออกมาเปิดใจต่อสื่อครั้งแรกว่า
ขอบคุณพี่ๆ สื่อที่มาเจอกันวันนี้ เพราะยังไม่มีโอกาสได้ออกมาพูดเรื่องนี้แบบจริงจัง สิ่งที่เกิดขึ้นคือเป็นเพียงพยานที่อยู่ในเหตุการณ์เท่านั้น แสดงความบริสุทธิ์ในการให้ปากคำ จริงๆ เราออกไปกินข้าวคนเดียวบังเอิญเจอ ไม่ได้รู้จักน้องเป็นการส่วนตัว ไม่รู้ว่าเรื่องมันออกมาเป็นแบบนี้ได้ยังไง พอเรื่องมันเกิดขึ้นมีภาพเราเบลอๆ ออกไปแล้วมีชื่อดาราพันล้านชื่อย่อ ฟ. มันเป็นเรา จึงต้องออกมาแสดงความบริสุทธิ์ใจ
ก็ยอมรับว่าอยู่ในเหตุการณ์ แต่ไม่มีส่วนรู้เห็นในสิ่งที่โดนกล่าวอ้าง ไม่มีการยื่นอะไรให้ทั้งสิ้น ยังนั่งคุยกับรุ่นน้อง ไม่มีขนมเลยครับ เรานั่งอยู่ก่อน ส่วนรุ่นน้องคือรู้จักและไม่ได้เจอกันนานแค่มาร่วมจอยด้วย ส่วนน้องผู้หญิงไม่ได้รู้จักเป็นการส่วนตัวเลย ถามว่าเห็นที่น้องกินเยลลี่หรือเปล่า คือเราไม่ได้สนใจอะไรน้องเลยครับ ตอนนั้นที่เห็นน้องเขาคือน้องบอกว่าหนาวเหมือนจะหน้ามืด น้องผู้ชายเป็นคนพาไปโรงพยาบาล ในส่วนของเราคือรู้เท่านี้
พอเรื่องมันเกิดขึ้นมามันค่อนข้างจะใหญ่โต งงว่ามันเกี่ยวกับเราได้ยังไง เราก็บอกไปตามสิ่งที่เรารู้ ตอนที่ข่าวออกมามันก็มีส่วนที่เป็นเรา เพราะมันคือร้านที่เราไปอยู่แล้ว เราต้องออกมาปกป้องภาพลักษณ์ของตัวเอง ที่ออกมาตรงนี้เพราะเราเป็นเพียงแค่พยานเท่านั้น ที่ไปให้ปากคำกับเจ้าหน้าที่เราก็พูดตามความจริงที่ได้บอกไปแล้ว มันเกิดอะไรขึ้น เราบริสุทธิ์ใจอยู่แล้ว ขนมอะไรมันก็ไม่มีด้วยซ้ำ แล้วมันมาจากไหน
ขนมที่กล่าวอ้างคือไม่มี เราไม่ได้คุยกับน้องเลย เพราะมันเป็นเรื่องของทางเจ้าหน้าที่ที่จะทำการสืบสวนต่อไป แต่เราบริสุทธิ์ใจเพราะเราเป็นพยานในเหตุการณ์ เรื่องฟ้องร้องกลับเราให้เจ้าหน้าที่ด้านกฎหมายจัดการเรียบร้อย เรื่องภาพลักษณ์มันเสียไปแล้ว อาจจะกลับมาไม่ได้ อย่างน้อยตรงนี้ก็เป็นพื้นที่ของพี่ๆ สื่อช่วยด้วย เพราะเราก็บริสุทธิ์ใจที่จะออกมาพูดเพื่อปกป้องชื่อเสียงและผลประโยชน์ส่วนตัว มันมีเรื่องของงานในอนาคตด้วย ค่ายโทรศัพท์ รวมไปถึงงานพรีเซนเตอร์
มันกระทบใจครอบครัวมากกว่า เรารักครอบครัวมาก เรารักเพื่อน เราเป็นคนชอบให้เสียงหัวเราะกับทุกคน พอวันหนึ่งมันเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นกับชีวิตเราคนรอบตัวมันเสียความรู้สึกในเรื่องที่ออกมา เราก็ต้องเข้มแข็งด้วยในระดับหนึ่งมันก็มีเรื่องชื่อของเราเข้ามาเอี่ยว ยังยืนยันว่าเราเป็นเพียงพยาน ยังไม่ได้โดนหมายเรียกหรืออะไร ไม่ได้มีคดีใดๆ
เรื่องของหลักฐานต้องดูอีกทีเป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ตรวจสอบเราไม่รู้ในส่วนนี้ อาหารมันก็ปกติทั่วไป เราก็กินของเราปกติ มันเป็นร้านที่เรากินประจำอยู่แล้ว เราก็ไม่รู้ว่าที่มันเกิดขึ้นมันมาจากอะไร อาจจะเกิดจากหลายปัจจัยอาการแพ้หรืออะไรก็ตามมันก็สามารถเกิดขึ้นได้ หรือน้องเขาอาจจะไปที่ไหนมาก่อนก็ได้ ส่วนตัวเป็นคนพกขนมอยู่แล้ว หมากฝรั่ง ลูกอม เวลาเรากินข้าวเสร็จก็กันปากเหม็น กินกระเทียมมันก็ปกติ เยลลี่อะไรเราไม่พกครับ
นอกจากชื่อเสียงตอนนี้ก็เป็นเรื่องของผลประโยชน์คอนแท็กบางอย่างที่เป็นภาพลักษณ์ขององค์กรค่ายโทรศัพท์ใหญ่ๆ ตอนนี้ก็ขอฝากพี่ๆ ด้วย ในฐานะที่เราอยากจะแสดงความบริสุทธิ์ใจที่จะให้ปากคำ และทำให้เรื่องนี้เป็นไปได้เร็วที่สุด
งานตอนนี้มีการแคนเซิลอยู่บ้าง แต่เป็นเรื่องของข้อตกลงในอีกรูปแบบหนึ่ง ถามว่า 100% เลยไหม ก็เป็นเรื่องที่ตกลงกับผู้จัดการเราไม่ได้ยุ่ง ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงทำแบบนี้ เราไม่โกรธแต่เราแค่ตกใจมากกว่าเราไปอยู่ตรงนั้นได้ยังไง ก็ให้ความร่วมมือกับตำรวจอย่างเต็มที่ ถ้าอยากรู้อะไรเพิ่มเติมก็ไปสอบถามเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เลย
ปกติเราเป็นคนที่เซฟตัวเองในระดับหนึ่ง เพราะอยู่วงการมาเกือบครึ่งชีวิตของเรา ประมาณ 14-15 ปี ไม่เคยมีเรื่องเสียหายเกี่ยวกับเรื่องยาหรือเรื่องของผู้หญิงเลย คนอย่างผมเหรอจะไปมอมยาใครมอมตัวเองดีกว่า รู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่ทำให้เราแข็งแรงขึ้นในวงการดีกว่า
คนที่รู้จักเราจริงๆ จะรู้ว่าเราเป็นคนอย่างไร เราเฟรนด์ลี่เวลาเจอใครก็อยากให้ทุกคนมีความสุขเวลาเจอเราถ้าเกิดทุกคนเชื่อก็คือเชื่อในตัวผม แต่เราไปบังคับความคิดของคนอื่นไม่ได้ในสิ่งที่คิด เชื่อว่าถ้าเจอกันมาตั้งแต่เด็กจะรู้ว่าเราผ่านอะไรมาบ้าง เราเป็นคนมองโลกในแง่ดีตลอด ทำให้ทุกคนมีความสุข สิ่งที่เกิดขึ้นรู้สึกว่าเป็นสิ่งที่นำมาสอนเรา เราก็ควรจะระวังตัวในการที่จะให้คนแปลกหน้าเข้ามาร่วมโต๊ะหรือเข้ามาในชีวิตเรา
ส่วนตัวน้องชายไม่ได้เจอกัน เขาก็ทำงานตัวเราก็ยุ่งมากถ่ายละครอย่างเดียว ค่อนข้างที่เหนื่อยจากการทำงานแล้ว เราไม่ได้สนิทถึงขั้นที่จะโทรหาทุกวัน เขาเป็นแก๊งจักรยานด้วยกันไม่อยากให้พาดพิงถึงเขามาก