เปิดเส้นทางก่อนจะดัง “บิ๊ก ทองภูมิ” 14 ปีกว่าจะมีวันนี้ผ่านอะไรมาบ้าง
แจ้งเกิดเป็นดาวเด่นประดับวงการ มีผลงานให้ได้ติดตามชมมากมาย สำหรับพิธีกร นักแสดงหนุ่ม “บิ๊ก ทองภูมิ สิริพิพัฒน์” ชีวิตในวัยเด็กและเส้นทางการเข้าสู่วงการบันเทิงของหนุ่ม “บิ๊ก” จะเป็นอย่างไรไปฟังจากปากเจ้าตัวกัน
ช่วงมัธยมก็เรียนอยู่ที่โรงเรียนวัดบวรนิเวศ ช่วงนั้นก็เป็นช่วงเวลาที่นำสวดมนต์ ร้องเพลงชาติ เรียนหนังสือเก่ง ได้ท็อปๆ ของรุ่น ทำกิจกรรมเยอะ ร้องเพลง อ่านทำนองเสนาะ เล่นกีฬา หลังจากนั้นชีวิตก็ต้องเตรียมตัวสอบเข้าชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ก็ตั้งใจเรียนเรื่อยมา สุดท้ายก็ถูกส่งไปอยู่โครงการ คณิตศาสตร์และฟิสิกส์โอลิมปิก ที่โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย ก็เข้าไปเรียนสายวิทย์ ตอนนั้นได้ที่ 1 ของห้องเลย แล้วก็ไปเจอรุ่นพี่คนหนึ่งที่ ชื่อ “พี่เหมี่ยว” มือกลองของวง “เอ็นโดรฟิน” เก่าเจอพี่ๆ หลายคน เขาก็ลากเราให้ไปอยู่ชุมนุมเชียร์ เป็นลีด หลังจากนั้นโครงการคณิตศาสตร์และฟิสิกส์โอลิมปิกก็ล่มไปก่อน
เส้นทางการเข้าสู่วงการบันเทิง ก็ไปเดินสยาม แล้วก็มีโมเดลลิ่งมาติดต่อ ไม่ทราบว่ายุคนี้มีอยู่หรือเปล่า เราก็เดินแฟชั่นโชว์อยู่ที่เซ็นทรัลเวิลด์ คนที่เลือกก็คือ “ป้าตือ สมบัษร ถิระสาโรช” ตัดสินใจนานไหม จริงๆ เรากลัวมากกว่า เพราะไปเดินที่เซ็นทรัลปิ่นเกล้า มีคนติดต่อให้ไปถ่ายหนังโป๊ เราก็เลยกลัว วิ่งหนี ไม่ยุ่งเลย แล้วรุ่นพี่ก็เคยบอกว่า วงการบันเทิงมันดูน่ากลัวสำหรับคนธรรมดา มีแสง สี ต่างๆ แล้วก็มีอยู่จ็อบหนึ่งคุณพ่อบอกว่า ลองๆ ดู เป็นผู้ชาย เราก็ลองดูก็ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด แต่ก็จะมีข่าวเกี่ยวกับการโกงเงิน อย่างที่เราได้เห็นตามข่าว แต่เราก็รอดจนมาถึงทุกวันนี้
ผลงานที่เราทำแล้วมีความสุขก็คือ “อยากได้ยินว่ารักกัน” ที่บอกว่าคนไม่สนใจภาพยนตร์ของเราเลย มัวสนใจกับข่าวแบดบอยเรา ซึ่งเรื่องนี้เราเป็นคนเดินเรื่องเลย เป็นพระเอกเรื่องแรกก็อยากให้กลับไปดู กระแสตอบรับตอนนั้นก็ดีมากๆ คนที่รักเรา ก็รักเลยไปไหนคนก็ตามให้กำลังใจ
จากวันนั้นจนถึงวันนี้ จริงๆ ก็ไม่ได้คิดหรอก เคยคุยกับคุณแม่ตอนขับรถผ่านมาสีลม พอมาทำงานอยู่ตรงนี้มันไม่สำคัญแล้วว่าต้องเป็นอะไร ขอแค่เป็นคนดีพอ และทำงานให้ดี ในสายงานอาชีพที่ตัวเองทำให้ดีที่สุดพอ โอเคตอนนี้เราเป็นนักแสดง หน้าที่ของนักแสดงมีอะไรบ้าง ก็ทำอันนั้นให้ดีๆ ดูแลตัวเอง ฝึกซ้อมพัฒนาตัวเองในทุกๆ ด้าน
14 ปีในวงการบันเทิง ความอดทน ความอึด ความขยันใจสู้ ผมไม่ใช่คนเก่งเลย ถ้าเปรียบเป็นมวย ผมไม่ใช่เป็นมวยฉลาด ผมเป็นมวยอึดอะ ขยันซ้อม มีวินัย อาศัยความอดทน ผมไม่เก่ง แต่ผมพยายาม ได้ทำงานทุกๆ อย่างก็รู้สึกรักแล้ว มันสามารถไหลไปได้ทุกอย่าง มันจะมีจังหวะของมัน วินาทีที่เราเป็นพิธีกรก็ต้องเป็นให้ดีที่สุด ส่วนนักแสดงก็ต้องทำหน้าที่นักแสดงให้ดีที่สุด จริงๆ เราก็โอเคทุกอย่าง ร้องเพลงก็ร้องได้นะ ซึ่งเราจะเห็นพี่ๆ นักแสดงบางคนเขาทำงานได้ในหลายๆ ด้าน
ไอดอลในการแสดง จริงๆ ไอดอลคือ “บุดด้า” ก็คือพระพุทธเจ้า หน้าที่ของเราเราต้องทำอะไร แต่ถ้าเราชอบดูใครเป็นคนไทยก็จะดูชอบ “โทนี่ จา” เพราะเขาไปได้ไกลมากในสายงานของเขา แล้วก็จะมี “เฉินหลง” และ “เจ็ท ลี”
ขอบคุณสำหรับแฟนๆ ที่ติดตามตั้งแต่ก่อนภาพยนตร์ ไม่มีพวกคุณในวันนั้นก็คงไม่มีผมในทุกวันนี้ ไม่มีคนที่ชม คนที่ชอบ เราก็ไม่ได้ไปต่อในหน้าที่นี้ ก็พยายามจะตั้งใจทำผลงานดีๆ ออกมาให้ดู ส่วนผลงานเร็วๆ นี้ก็จะได้ชมแล้วเรื่อง “ไฟหิมะ” เรื่องนี้ก็ค่อนข้างตั้งใจมากๆ มันสอดแทรกแง่คิดหลายๆ อย่าง ผมถ่ายทอดออกมาได้เป็นอย่างดี เรื่องนี้ดีที่สุดตั้งแต่แสดงร้ายมา เชื่อว่าผลงานชิ้นนี้นั้นดีที่สุด แต่ผลงานชิ้นอื่นๆ ก็จะทำให้ดีกว่านี้ ยังไงก็ฝากด้วยครับ