“อาหนิง นิรุตติ์” เล่าความประทับใจครั้งหนึ่งเคยถวายงานต่อหน้าพระพักตร์ในหลวงรัชกาลที่ ๙
เป็นอีกหนึ่งคนบันเทิงที่เคยมีโอกาสได้ถวายงานต่อหน้าพระพักตร์ “พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช” และ “สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ” สำหรับนักแสดงรุ่นใหญ่ “อาหนิง นิรุตติ์ ศิริจรรยา” และยังเดินตามรอยคำสอนของพระองค์ท่าน พร้อมยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียงมาดำเนินชีวิตอีกด้วยโดยล่าสุด ”อาหนิง” เผยความรู้สึกหลักถวายงานอย่างใกล้ชิดว่า
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา พระองค์ท่านรับสั่งว่าไม่ให้เราโศกเศร้า เราทุกข์ แต่เหมือนว่าพระองค์ท่านยังอยู่ในหัวใจเราคนไทยตลอดเวลา ผ่านไปไหนมาไหนก็เห็นพระบรมฉายาลักษณ์ของพระองค์ท่านอยู่ ก็ยังนึกว่าพระองค์ท่านมีพระชนม์ชีพอยู่ ก็ยกมือขึ้นไหว้ ทั้งสมเด็จพระบรมราชินีนาถพระนางเจ้าสิริกิติ์ในรัชกาลที่๙ ด้วย
มีโอกาสถวายงานใกล้ชิดต่อหน้าพระพักตร์พระองค์ท่านด้วย ไม่ใช่บ่อยครั้ง และไม่ใช่ง่ายนักที่คนบันเทิงรวมถึงตัวผมเองที่จะมีโอกาสได้เฝ้าใกล้ชิด ถ้าหากว่าเราไม่ได้ทำอะไรที่ถวายพระองค์ท่านก็คงไปถวายการต้อนรับพระองค์ท่านตามสถานที่ต่างๆที่พระองค์ท่านเสด็จ และคงไม่ได้เข้าใกล้ชิดเช่นกับนักแสดงทุกคน ตั้งแต่รุ่นปู่ ย่า ตา ยาย จนมาถึงรุ่นผม และก็รุ่นน้องๆหลานๆ ซึ่งในแต่ละครั้งคือเป็นความรู้สึกที่บอกไม่ถูก คือความรู้สึกตื่นเต้น ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่ได้เข้าไปใกล้ชิดฝ่าพระบาทของพระองค์ท่านทั้งสองพระองค์หรือว่าทุกๆพระองค์ในราชวงศ์ มีความปลื้มปิติมาก แล้วก็ดีใจ ครั้งหนึ่งในชีวิตเลยของเหล่านักแสดงทุกคน เชื่อว่าทุกคนคงมีความรู้สึกเช่นเดียวกับผม
แสดงภาพยนตร์ “แผ่นดินของเรา” ต่อหน้าพระพักตร์ของพระองค์ท่านด้วย จริงๆเราไม่ค่อยได้แสดงอะไรต่อหน้าพระพักตร์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระบรมราชินีนาถ แต่มีบางครั้งที่เป็นการแสดงถวายพระราชกุศลแด่ “สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี” ก็มีโอกาสไปแสดงต่อหน้าพระพักตร์ท่าน แต่สำหรับสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระบรมราชินีนาถทรงมีภารกิจมากมาย ก็คงไม่มีเวลาที่จะมาทอดพระเนตร แต่ว่าได้สละเวลาทอดพระเนตรภาพยนตร์ “แผ่นดินของเรา” ซึ่งนับเป็นอีกหนึ่งครั้งที่ปลาบปลื้มปิติมากๆ ที่พระองค์ท่านทรงเสด็จทอดพระเนตรในภาพยนตร์ที่เราแสดง พระองค์ท่านทรงใส่ใจในทุกเรื่องไม่ว่าจะเป็นงานศิลปะ ทางด้านดนตรี ด้านการแสดง งานศิลปะ ตลอดทั้งความเป็นอยู่ของคนทั้งประเทศอีกมากมาย ซึ่งมองไม่เห็นเลยว่าบุรุษใดที่สามารถเป็นได้ทุกอย่างเช่นพระองค์ท่าน
ปรัชญาแนวทางที่นำมาปรับใช้ในชีวิตประจำวัน การน้อมนำแนวพระราชดำริของท่านที่ยึดถือและนำมาปฎิบัติผมคิดว่าง่ายที่สุดและคลอบคลุมไปหมดทุกด้านของการดำรงชีวิตอยู่ในโลกใบนี้ก็คือ ยึดถือความพอเพียงเป็นที่ตั้ง เพราะความพอเพียงจะคลอบคลุมไปอยู่ในทุกแขนงของธุรกิจหรือชีวิตประจำวันของคนเรา อย่างเช่นถ้าพูดถึงธุรกิจคนเราจะมีธุรกิจขนาดเล็ก ขนาดกลาง ขนาดใหญ่ เขาก็จะมีความพอเพียงในแต่ละธุรกิจของเขา หรือแม้แต่การเกษตรก็มีความพอเพียงในด้านของเกษตรกรตั้งแต่ปลูกเองไว้กิน ไว้ขาย หรือปลูกไว้เพื่อเป็นอาชีพ นี่ก็คือความพอเพียงในแต่ละบุคคลไม่เท่ากัน เรายึดเพียงว่าเราพอเพียงขนาดไหน เราอยู่ในแบบพอเพียงของเรา อย่าไปเป็นแบบเขาก็ได้ ซึ่งผมเองก็ปลูกผัก ทำเกษตรที่ต่างจังหวัดมาตั้งแต่ยังหนุ่มอยู่ตอนอายุ 26-27ปี แล้วก็ติดตามพระราชดำรัสของพระองค์ท่านมาอยู่เสมอว่าให้เราอยู่อย่างพอเพียงไม่ว่าจะทำอะไรก็แล้วแต่
พระองค์ท่านตรัสบอกว่า “ให้เห็นประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยนช์ส่วนตน” สำหรับเรื่องนี้เป็นที่พูดกันเยอะ แต่คิดว่าหลายคนยังไม่เข้าใจว่าการเห็นประโยชน์ส่วนรวมนั้นให้มากกว่าเห็นประโยชน์ส่วนตน ข้อนี้ปฎิบัติยากพระองค์ท่านก็พร่ำที่จะดำริออกมาอยู่เรื่อยๆแล้วก็พยายามจะสอนประชาชน แต่ว่าในโลกของปัจจุบันประชาชนส่วนมากจะฟังหูซ้ายออกหูขวาส่วนมากจะนึกถึงผลประโยชน์ส่วนตัว ครอบครัว และญาติพี่น้องมากกว่า คำง่ายๆสั้นๆอธิบายก็คือให้เผื่อแผ่ให้คนอื่นบ้างเท่านั้นเองนั่นคือความหมายว่า “ให้เห็นประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยนช์ส่วนตน”
ฝากถึงคนรุ่นใหม่ ผมคิดว่าคนรุ่นใหม่รู้จักพระองค์ท่านมากขึ้นจากคนรุ่นเก่าที่พร่ำสอนแล้วก็พาไปดูก่อนที่พระองค์ท่านจะเสด็จสวรรคต จนถึงวันที่พระองค์ท่านสวรรคตแล้ว ก็จะ พาลูกหลานไปดูในงานต่างๆให้ไปรักพระเจ้าอยู่หัว เด็กเล็กๆตอนนี้ก็เริ่มรู้จักพระองค์ท่าน หรือแม้แต่รุ่นผมก็รู้จักและรักพระองค์ท่านเป็นอย่างดี แต่คำว่ารู้จักและรักผมว่าไม่เพียงพอ สิ่งที่เพียงพอที่สุด ถ้ารักแล้วต้องปฏิบัติตามสิ่งที่รักและยึดมั่นในสิ่งที่พระองค์ได้มีพระราชดำรัส และพระราชดำริออกมา ทำกันคนละนิดละหน่อย หน้าที่ใครก็ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดดั่งเช่นคำที่พระองค์ท่านเคยตรัสไว้ว่า”รู้จักหน้าที่ และทำตามหน้าที่ของเราบ้สนเมืองก็จะสงบเรียบร้อย”ครับ