“ดิว อริสรา” เคลียร์ประเด็นไม่คืนเงินหุ้นร้านทำเล็บ ปัดส่งคนไปข่มขู่
กลายเป็นเรื่องราวที่ดูท่าจะยืดเยื้อไม่จบง่ายๆ กับกรณีที่นางร้ายสุดมั่นอย่าง “ดิว อริสรา ทองบริสุทธิ์” ถูก "ซีแนม สุนทร" หรือ "ซีแนม AF” กับพวกรวม 2 คนเป็นโจทก์ยื่นฟ้องเรียกค่าเสียหายหุ้นส่วนร้านทำเล็บเป็นจำนวนเงินร่วมหลักล้านบาทแต่ไม่สามารถเปิดได้ ซึ่งล่าสุด "ดิว อริสรา" พร้อม "ทนายสาคร ศิริชัย" และ "ทนาย นัฐพล สุขบรรจง" ก็ได้เดินทางมาที่ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ถ.เจริญกรุง เพื่อนัดชี้สืบพยานโจทก์โดยให้เหตุผลที่ยังไม่คืนเงินพร้อมเคลียร์ข่าวมีการส่งคนไปข่มขู่อีกฝ่ายว่า
วันนี้จริงๆ ไม่จำเป็นต้องมาก็ได้ เพราะเป็นการนัดครั้งแรกสามารถให้ทนายมาได้แต่ตนให้เกียรติศาลและเพื่อความบริสุทธิ์ใจเลยมา เรื่องที่เกิดขึ้นรู้สึกอึดอัดมานานแล้วที่ผ่านมาไม่ได้พูดเลย ซึ่งที่ต้นเหตุที่ไม่พูดเพราะถ้าพูดไปอาจจะมีกรณีโดนฟ้องหมิ่นประมาทได้เลยให้เข้าสู่กระบวนศาลก่อนและค่อยมาพูด และที่ไม่ได้คืนเงินเพราะตนยังมีคดีฟ้องร้องกับเจ้าของตึกที่จะเช่าทำร้านอยู่
โดยทนายเผยว่า เรื่องนี้เริ่มจากหุ้นส่วนทำธุรกิจด้วยกัน 5 คน ซึ่งทาง "ดิว อริสรา" กับหุ้นส่วนที่เป็นคู่กรณีได้ไปทำสัญญาเช่าตึกก็มีปัญหาเจ้าของสถานที่ไม่สามารถส่งมอบพื้นที่ได้ทำให้ธุรกิจเปิดไม่ได้เลยมีการฟ้องร้องค่าใช้จ่ายกันอยู่ ซึ่งทาง "ดิว อริสรา" ต้องเป็นคนรับผิดชอบคนเดียวไม่ใช่ไม่คืนแต่มีปัญหาอยู่ โดยหุ้นส่วนอย่าง “หนูนา หนึ่งธิดา โสภณ” ก็ไม่ได้ติดใจเรียกร้องหรือมีปัญหาอะไร แต่มีหุ้นส่วนที่ยังเข้าใจผิดจะเอาคืนอย่างเดียว จริงๆ ผู้เป็นหุ้นส่วนทุกคนต้องรับผิดชอบด้วยกันไม่ใช่จะปล่อยให้เป็นภาระให้หุ้นส่วนหลักสู้อยู่คนเดียว และการทวงเงินก็ควรทำด้วยความสุภาพไม่ใช่ไปทวงผ่านสื่อโซเชียลทำให้รู้สึกไม่ดีกระทบกระเทือนจิตใจ หุ้นส่วนก็ต้องให้ข่าวด้วยความระมัดระวัง รับจะมีการนัดไกล่เกลี่ยอีกทีในวันที่ 24 สิงหาคม ตอนนี้ทาง "ดิว อริสรา" ได้มีการฟ้องเจ้าของตึกไปแล้ว 2 ล้าน และเสียค่าทนายไปหลักแสนแล้วต้องมารับผิดชอบเรื่องนี้ร่วมกัน
ทั้งนี้ "ดิว อริสรา" เผยต่อว่า ที่ฟ้องเจ้าของตึกคนเดียวตอนแรกก็มีการบอกเหตุผลอีกฝ่ายไปแล้วว่าทำไมไม่คืนเงิน ซึ่งเขาก็บอกจะไม่ฟ้องอย่างที่รู้กันหุ้นส่วนมีทั้งหมด 5 คนแต่ตนถือหุ้น 60% กับเงินสองล้านบาทของเขาถือ 10 % ถ้านับกันจริงแค่สองแสนแต่ตนถือล้านกว่าบาทก็อยากให้เห็นใจ เพราะตนถือหุ้นเยอะที่สุด และในสัญญาก็ระบุว่าอีกฝ่ายสามารถฟ้องกลับได้ถ้าผิดสัญญา ตนก็ทำทุกอย่างเพื่อป้องสิทธิ์และการทำธุรกิจก็ต้องออกตามจำนวนหุ้นหรือเปล่า ถ้าเจ็บก็เจ็บที่ตนเยอะสุด โดยก่อนหน้านี้ได้มีการคุยเพื่อนัดคืนเงินแต่อีกฝ่ายมีด่าและขู่จะทำลายชื่อเสียง ก็ไม่แปลกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นเลย มีการปรึกษา "ไผ่ วันพอยท์" เขาก็บอกให้มีทนายมาช่วยเรื่องนี้ยันที่อีกฝ่ายพูดว่าไม่เคยคุยเรื่องเงินไม่เป็นความจริงมีการคุยแล้วแต่โดนชี้หน้า และอีกฝ่ายพูดด้วยอารมณ์ทั้งสิ้น
ด้านทนายบอกอีกว่า ตอนนี้คดีขึ้นสู่กระบวนศาลเข้าสู่ระบบไกล่เกลี่ยแต่ต้องมาคุยให้จบมีอะไรต้องรับผิดชอบด้วยกันและยินดีคืนเงินอยู่แล้วแต่ต้องรับเงื่อนไขให้ศาลไกล่เกลี่ยคาดน่าจะจบเดือนหน้านี้
"ดิว อริสรา" เผยต่อว่า ตอนแรกที่นัดคุยก่อนหน้านี้จะไปคุยคืนเงินแต่มีปากเสียงถูกขู่ด้วยและอีกฝ่ายอยากให้ตนรับจบไปเลยคนเดียวหาว่าซื้อของแพงมาใส่ที่ร้านแต่พอคุยไปก็คุยไม่รู้เรื่องเลยต้องเพิ่งทนาย ส่วนข่าวที่ตนใช้เงินฟุ่มเฟือยจัดงานวันเกิดนั้นก็ยอมรับเป็นคนใช้เงินเก่งแต่ไม่ได้เอาส่วนนั้นไปใช้ ที่ไม่คืนอย่างที่บอกเพราะมีคดีกับเจ้าของตึกอยู่ซึ่งหุ้นส่วนอย่าง "หนูนา หนึ่งธิดา" ก็พร้อมให้สัมภาษณ์เขาไม่มีปัญหาเลย ครั้งหน้าจะเชิญเขามาด้วยและเขาก็ยังไม่ได้เงินคืนเขาไม่เอาไม่อยากทิ้งตนคนเดียว และที่ให้หุ้นส่วนไปแล้วเพราะเขามาคุยว่าเดือดร้อนจริงๆ ซึ่งทุกๆ เงื่อนไขก็ได้ให้เขาเซ็นเป็นสัญญากู้ยืมเงิน เพราะกลัวผู้ไม่ประสงค์ดีมาเล่นอีก หุ้นส่วนคนนี้คุยรู้เรื่องให้เงินเขาไปเหมือนเป็นการยืมกันมากกว่า
ทั้งนี้ทนายเผยว่า ถ้านัดครั้งหน้าแล้วมีการคุยบรรลุข้อตกลงก็อยากให้ยอมรับเงื่อนไขที่เสนอไปบ้างไม่ใช่เขาจะมาเสนอเอาอย่างเดียว โดย "ดิว อริสรา" บอกต่อว่าวันนี้มาศาลด้วยความบริสุทธิ์ใจที่ผ่านมาตนโดนดิสเครติดหนักมาก และกลัวถ้าพูดอะไรไปแล้วกลัวจะเป็นประเด็นหนักยันวันนี้เจอหน้ากันก็ไม่คุยเพราะไม่มีใครมาเห็นภาพที่เจอกันข้างบน ซึ่งอีกนิดเขาจะเข้าถึงตนแล้วหวั่นมีปัญหากันเลยโดนห้ามก็รอศาลให้ไกล่เกลี่ย ย้ำชัดไม่ได้ส่งคนมาข่มขู่เลย เขาใช้สื่อแต่ที่ผ่านมาเขาใช้สื่อเป็นเครื่องมือหรือต้องการอะไรก็ไม่รู้ ซึ่งทนายเผยทิ้งท้ายว่า ก็ได้มาพูดความจริงวันนี้อย่างที่บอก "ดิว อริสรา" มีคดีอื่นๆ ที่สังคมไม่รู้และเบื้องลึกการทำสัญญาเช่าที่มีปัญหาหุ้นส่วนก็มาทะเลาะกันอีก เขาจะเอาอย่างเดียวไม่ได้ยังไงการลงทุนก็มีความเสี่ยงและยินดีพูดในชั้นศาลครั้งหน้า แต่ต้องคุยให้เข้าใจ
"ดิว อริสรา" เผยทิ้งท้าย ก็คิดว่าทุกคนเข้าใจการทำธุรกิจละเอียดอ่อน ที่ผ่านมาตนไม่พูดก็อยากให้ลองฟังดูและไม่โกรธคนที่เข้ามาต่อว่าตน เพราะไม่สามารถบังคับใครได้อยู่แล้วก็ขอเคลียร์เรื่องนี้ให้จบก่อน ถ้าจะทำร้านต่อซึ่งทาง "หนูนา หนึ่งธิดา" ก็บอกให้ทำต่อแต่ตนขอพัก เพราะเหนื่อยมากและอาจจะยังมีประสบการณ์ไม่พอกับเรื่องนี้ รู้สึกคิดน้อยไปที่เซ็นรับเกือบทั้งหมดมาคนเดียว