“กู๊ด” มีคิดอยากบวชตาม “พระเกรท” แย้มเตรียมบินทำงานที่อเมริกา
“กู๊ด KPN” หรือ “กู๊ด ชยพล ปัญหกาญจน์” อัพเดทชีวิตหลังเดินตาม “พระเกรท วรินทร ปัญหกาญจน์” บิณฑบาต แย้มเตรียมบินกลับไปทำงานต่อที่อเมริกาด้านเศรษฐศาสตร์
อีกหนึ่งหนุ่มที่ตอนนี้เพิ่งบินกลับจากประเทศอเมริกา เพื่อร่วมงานบวชพี่ อย่างหนุ่ม “กู๊ด KPN” หรือ “กู๊ด ชยพล” โดยล่าสุดเขาได้ทำหน้าที่น้องที่ดี เดินตาม “พระเกรท วรินทร” บิณฑบาตในทุกๆ เช้า เมื่อมีโอกาสพูดคุยกับเขา หนุ่ม “กู๊ด” ได้เผยให้ฟังถึงความรู้สึก พร้อมทั้งยังอัพเดทเรื่องเรียน พร้อมทั้งยังมีข้อคิดดีๆ ฝากถึงน้องๆ ที่อยากเรียนต่อต่างประเทศให้ได้ฟัง โดยเขาเผยว่า
"ตั้งแต่หลวงพี่บวช กู๊ดก็ได้ไปอยู่วัดทุกวัน คอยดูแลจัดคิวคนที่จะมาถวายเพล คอยช่วยตอนเดินบิณฑบาตตอนเช้า และมีโอกาสทำวัตรเช้า ทำวัตรเย็นทุกวันด้วย ก็เป็นสิ่งที่ดี สำหรับหลวงพี่ตอนนี้สบายดี หลวงพี่ตั้งใจมากที่จะเป็นพระที่ดี เมื่อวานมีคำพูดนึงตอนช่อง 3 และคณะผู้จัดฯ เข้าไปถวายเพลหลวงพี่ 1 เดือน 30 วันที่บวชตั้งใจมาก ให้สมกับที่ผู้ใหญ่ทุกคนและฆราวาสทุกท่านกราบไหว้ ให้สมกับฐานะที่ทุกคนกราบไหว้ โดยจะไปเพชรบูรณ์วันอาทิตย์นี้ เราไปอยู่แล้ว ตามติดหลวงพี่ตลอด 30 วัน เป็นเหตุผลที่บินกลับมาด้วย
เราตั้งใจบินกลับมาเพื่อตั้งใจอยากจะมา ตอนแรกมีลุ้นๆ เหมือนกันว่าจะได้กลับมาหรือเปล่า เพราะมีปัญหาเรื่องวีซ่า แต่สุดท้ายก็โชคดี ได้กลับมาก่อนที่หลวงพี่จะบวช 1 วันพอดี และนี่ก็เป็นสิ่งที่เราตั้งใจด้วยว่าครั้งหนึ่งพอหลวงพี่บวช เราก็อยากเป็นโยมอุปัฏฐาก เพราะก็เหมือนเป็นหน้าที่ของน้องชายคนหนึ่งที่ได้เข้าไปทำ ปฏิบัติดูแลท่าน
ส่วนตัวแล้วต้องบอกก่อนว่าเราไม่เคยคิดเรื่องบวชเลยก่อนหน้านี้ แต่พอได้มาอยู่กับหลวงพี่ 10 กว่าวัน ตั้งแต่วันที่ 9 เริ่มรู้สึกว่าเราเองก็อยากบวชเหมือนกัน เพราะว่านี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้เข้ามาทำอะไรเกี่ยวกับวัด ธรรมะ กิจของสงฆ์ จริงๆ จังๆ ตลอดทุกวัน ก็ทำให้เราได้ซึมซับความรู้สึก การใช้ชีวิตอยู่ในวัดระดับหนึ่ง ก็คิดอยากจะบวชเหมือนกัน ถ้าจัดการเรื่องทางโน้นเรียบร้อย
เรื่องเรียน ตอนนี้เรียนจบแล้ว เหลือรอทรานสคริปต์อย่างเดียว อย่างกู๊ดพอรับปริญญาก็จะรอเขาสรุปคอร์สสุดท้ายที่ส่งคะแนนไป รอเรื่องเกรดเฉลี่ยอย่างเดียว รับปริญญาเรียบร้อยแล้ว เราจบปริญญาโท สาขาเศรษศาสตร์ เป็น Pure Economics เลย ถ้าถามว่ายากไหมต้องบอกว่ายากมาก ถ้าพูดถึงวิชาเศรษฐศาสตร์หลายคนคงขยาย เพราะมีเกี่ยวข้องกับคณิตศาสตร์ ภาษาอังกฤษ แต่ที่รู้สึกว่ายากและท้าทายสำหรับเรา คือ เราไม่เคยเรียนอินเตอร์มาเลย เวลาเรียนเราก็จะเรียนเป็นภาษาไทยทั้งหมด แล้วสิ่งที่เราเรียนเกี่ยวกับภาษาอังกฤษก็เป็นเรื่องการสื่อสารการพูด การใช้ แต่เราไม่เคยเรียนภาษาอังกฤษแบบเชิงวิชาการ พอไปถึงโน่น ทุกอย่างมันเป็นภาษาอังกฤษ และเป็นคณิตทั้งหมด มันเลยค่อนข้างท้าทายมากๆ และเรื่องของพื้นฐานการเรียน เราต้องเรียนกับฝรั่ง หลักสูตรเป็นของอเมริกาทั้งหมด มันเลยค่อนข้างที่จะแตกต่างจากที่เราเคยเรียนมามากพอสมควร เพราะฉะนั้นเราเลยต้องใช้เวลาในการตามเพื่อนๆ คนอื่นให้ทันมากๆ เลยทีเดียว เทอมแรกนี่ลำบากมาก
โดยใช้เวลาปรับตัวคือหลักสูตรของเราปีครึ่งก็จบ แต่เวลาในการปรับตัวของกู๊ดเกือบๆ 1 เทอมเลยทีเดียว เพราะครึ่งเทอมแรกจำได้เลยว่าคะแนนกลางภาคที่ออกมาจะไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เพราะว่าเราตามเขาไม่ทัน เหมือนเทอมนึงผมเรียน 4 วิชา คอยตามเขา เราก็ต้องมารื้อฟื้นใหม่หมดเลย เรื่องวิธีการอธิบายคำตอบของที่โน่นก็แตกต่างจากวิธีของไทย จากที่เราเรียนที่ธรรมศาสตร์ก็ไม่เหมือนกัน การแปลความหมายจากภาษาไทยเป็นภาษาอังกฤษ เราอาจจะให้เหตุแล้วค่อยมาผล แต่ที่โน่นอาจจะต้องพูดถึงผลแล้วค่อยอธิบายสาเหตุ ค่อนข้างใช้เวลามากๆ พอสมควร แล้ว 4 วิชาก็ใช้เวลาเยอะ เราก็ใช้เวลาเยอะ จริงๆ มันก็เต็มที่แหละ แต่อยากทำให้ดีกว่านี้ รู้สึกว่าดีไม่พอ ก็ค่อนข้างเครียดและปรับตัวนานพอสมควร
ครั้งนี้ไปเรียนมาคนเดียวเลย แล้วอย่างในคณะมีเราเป็นคนไทยคนเดียวปีนี้ ซึ่งค่อนข้างลำบาก อย่างที่รู้ๆ กัน อย่างมหาวิทยาลัยที่ไทยเขาจะมีการให้รุ่นพี่มาแบ่งเอกสารที่เรียนมา มีรุ่นพี่ในคณะมาคอยติวให้ แต่นี่เราไม่มีเลย เรากลายคนเดียวเลย ในปีของกู๊ด อย่างที่บอก คือ ต้องใช้เวลาคอยจับทางว่าเราจะทำยังไง เราจะทำแบบไหนที่จะถูกต้อง ทำคะแนนได้ดี เราควรจะศึกษา เรียน อ่านหนังสือแบบไหน เทคนิคการออกข้อสอบเป็นยังไง ก็ต้องคลำหาเอาเอง
ส่วนเรื่องเทคนิคต่างๆ ถ้าพูดถึงเรื่องเรียนต่อ อันดับแรกเลยคือ เราสนับสนุนให้ทุกคนออกไปเรียนต่างประเทศ เพราะประเทศไทยเราก็มีมุมมองแบบไทยๆ ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ดี แต่ในต่างประเทศก็มีอีกหลายๆ มุมมองที่เรามองว่ามันก็เป็นประโยชน์กับทุกคนที่ได้ไป อย่างน้อยเราได้ประสบการณ์ เราก็จะได้มองโลกในอีกแง่หนึ่ง และเราสามารถเอากลับมาพัฒนาประเทศเรา และผมมองว่ามันเป็นคติในใจของผม สำหรับการแนะนำคนที่อยากจะไปเรียนต่อ ส่วนเรื่องเทคนิคเราไม่มีเทคนิคอะไรมาก แค่น้องตั้งใจ อยากไปไหนเราก็ตั้งใจไปกับมัน คิดว่าเราก็จะทำได้ ยังไงเราก็ต้องได้ไป แต่คิดอย่างเดียวไม่พอ เราต้องลงมือปฏิบัติ ต้องตั้งใจเรียน ภาษาอังกฤษสำคัญ เราอยากไปประเทศไหน ต้องดูว่าภาษาที่นั่นเขา require ไหม ให้ตรงตาม requirment ที่เขาต้องการ พูดให้ได้ ฟังให้ได้ เวลาไปจะได้ไม่ต้องลำบาก
ตอนที่จบมธ. ต้องบอกว่าตอนจบธรรมศาสตร์เรามาเป็นนักร้องก่อน พอเราเป็นนักร้อง เราก็ pause เรื่องการเรียนต่อไว้ก่อน แต่พอทำมาสักพักก็คิดว่าวงการบันเทิงอาจจะไม่ใช่สิ่งที่ตอบโจทย์ชีวิตเรา อาจไม่ใช่สิ่งที่เราทำได้ดีที่สุด เลยเริ่มมองหามหาวิทยาลัยที่ผมอยากจะเรียน และผมก็ได้เรียนที่ Boston University มีเรื่องนึงที่อยากจะแชร์ Boston เป็นมหาวิทยาลัยที่ ranking ค่อนข้างดีระดับหนึ่ง แต่กู๊ดสมัครอีกมหา'ลัยหนึ่งที่ ranking ไม่ดีเลย และมหา'ลัยนี้เขาปฏิเสธที่จะรับเราเข้าเรียน แต่ในวันรุ่งขึ้นกลายเป็นว่าบอสตันรับเราเข้าเรียน จะบอกว่าโอกาสมีเสมอถ้าเราตั้งใจจริงๆ และมุ่งมั่นจะทำมันจริงๆ เราอาจจะเสียใจอย่างนึง ผิดหวังจากสิ่งหนึ่ง ก็ไม่เป็นไร อาจจะมีสิ่งที่ดีกว่าเข้ามาก็ได้ และกู๊ดก็ได้สิ่งที่ตั้งใจจริงๆ ด้วย
ตอนประกาศผลว่าได้ก็บ้านแตก ตอนนั้นอยู่ที่นิวยอร์กด้วย จนเพื่อนมาถามว่าเราเป็นอะไร ก็บอกว่าเราได้มหา'ลัยนี้แล้ว ความรู้สึกเราจากเมื่อวานที่เราผิดหวัง จากมหา'ลัยที่ ranking ไม่ได้ดีมาก ไม่ได้สูงมาก คะแนนไม่ได้ดีมาก แต่เขาปฏิเสธเรา เราก็ไม่หวังแล้วว่า BU จะรับเรา พอวันรุ่งขึ้นเราได้รับจดหมายมาว่า congratulations เขารับเราเข้าเรียนแล้ว รู้สึกแบบจากที่เศร้าแล้วมาดีใจสุดขีด ในสิ่งที่เราไม่เคยหวังไว้ เราก็โทรหาแม่ โทรหาพี่ชาย บอกคนทุกคนว่ามันเป็นอะไรที่สุดท้ายเราทำได้ คุณพ่อคุณแม่ก็ดีใจ แต่ไม่ได้เฮให้เราเห็น แต่ท่านก็ดีใจที่สุดท้ายลูกได้เรียนมหา'ลัยที่ต้องการ และเป็นมหา'ลัยที่ดีด้วย กู๊ดก็บอกแม่ว่า แม่ แต่กู๊ดไม่ได้ทุนนะ อาจจะต้องรับการซัพพอร์ตทางการเงินหน่อย แม่ก็บอกว่าแม่มีธุระ เดี๋ยวค่อยคุยกัน
ด้านงานเพลงตอนนี้ยังติดสัญญากับทาง KPN อยู่เหมือนกัน แต่ก็บอกกับคุณกรเมื่อวานนี้ว่าอาจจะขอทำงานก่อนที่โน่น เพราะหลังหลวงพี่สึก เราจะบินกลับอเมริกา และไปทำงานที่โน่นก่อนปีนึง เพราะยังมีวีซ่า สามารถทำงานได้อยู่ แล้วกลับมา ถ้าเกิดมีโอกาสในงานบันเทิงก็อยากทำ เพราะว่ายังรู้สึกสนุก และชอบงานในวงการบันเทิงด้วย แต่อย่างที่บอกว่าสิ่งที่เราชอบอาจจะไม่ใช่สิ่งที่ทำได้ดีที่สุด ก็อาจจะต้องมาหางานประจำทำ อย่างเป็นครู ลึกๆ อยากเป็นอาจารย์ ตอนนี้ที่สมัครไว้เป็นพวกที่ปรึกษา ที่ปรึกษาพวกนโยบายองค์กร การเงิน การวางแผนนโยบายขององค์กร สิ่งที่นักเศรษฐศาสตร์ทำได้ ตรงกับที่เราเรียนมา แต่ว่าตำแหน่ง ชื่อเรียกมันจะเยอะมาก แต่หน้าที่หลักๆ ก็จะเป็นนักวิเคราะห์ นักปรึกษา การเงิน การจัดการ วางแผนนโยบาย การจัดการธุรกิจ ประมาณนี้
สุดท้ายอยากฝากถึงแฟนๆ ที่ยังไม่บอกเลิกเรา ที่ยังเป็นแฟนกันอยู่ ขอบคุณที่ยังติดตาม และยังติดต่อทางไอจีและโซเชียลเน็ตเวิร์คบ้าง อยากขอบคุณทุกครั้งที่เราก็เคยมีปัญหา เราโพสต์ลงโซเชียล เขาก็จะเข้ามาให้กำลังใจ ช่วงที่เรามีปัญหาเรื่องเรียน และเรื่องใช้ชีวิตต่างๆ ก็ขอบคุณมากๆ คิดว่าจะได้พบกันอีกเร็วๆ นี้ถ้ามีโอกาส ติดตามกันทางไอจีไปก่อน"
