คู่รักละครพื้นบ้าน “อ้อม-ต้าร์” เปิดหมดเปลือก 9 ปีกว่าจะชนะใจพ่อแม่ฝ่ายหญิงจนได้แต่งงาน
“อ้อม ประถมาภรณ์ รัตนภักดี” และ “ต้าร์ พศิน ศรีธรรม” สองพระ-นางละครพื้นบ้านชื่อดัง เตรียมแต่งงาน 9 กรกฎาคมนี้ พร้อมเล่ากว่าจะเอาชนะใจคุณพ่อคุณแม่ฝ่ายหญิง ดูแลรักมานาน 9 ปี
เป็นคู่รักสุดหวานที่ครองรักกันมานานถึง 9 ปีแล้ว สำหรับคู่พระ-นางละครพื้นบ้านทางช่อง 7 อย่างหนุ่ม "ต้าร์ พศิน" และสาว “อ้อม ประถมาภรณ์” ที่หลังจากได้โคจรมาเจอกันในเรื่อง “บัวแก้วจักรกรด” เมื่อปี 2549 ซึ่งเร็วๆ นี้ทั้งสองก็ใกล้จะควงคู่กันเข้าสู่ประตูวิวาห์ในวันที่ 9 กรกฎาคมนี้แล้ว โดยล่าสุดทาง “ดาราเดลี่” ก็ได้มีโอกาสพูดคุยสัมภาษณ์กับทั้งสองถึงเส้นทางรัก และงานแต่งงานที่จะถึงนี้ ทั้งสองได้เผยเรื่องราวทั้งหมดให้ฟังว่า
การเตรียมตัวงานแต่ง?
ต้าร์ : ตอนนี้ก็ 80-90 เปอร์เซ็นต์แล้วครับ เพราะว่าทุกอย่างเตรียมเกือบหมดแล้วครับ ก็มีออแกไนซ์ดูให้ครับผม
อ้อม : ทำงานทุกวันไม่ได้ไปเข้าสปา เตรียมตัวคอร์สเจ้าสาวเลย เพราะว่าพอดีละครที่ถ่ายอยู่เค้าเร่งออนแอร์ค่ะ ก็เลยเร่งถ่ายไปออกไปตลอด สมมติว่าแต่งวันที่ 9 ก็น่าจะได้หยุดวันที่ 8 ค่ะ แต่ก็เข้าใจเพราะละครมันออนแอร์ของมัน ก็ต้องให้คิวเค้า แต่อ้อมก็ไม่ได้เตรียมตัวอะไรมาก งานมันก็รันมาได้ 80 - 90 เปอร์เซ็นต์แล้ว เพราะว่ามีออแกไนซ์ช่วย มันก็เลยไม่ต้องเตรียมงานอะไรเยอะมาก เหลือแจกการ์ดอีก 10 หรือ 20 เปอร์เซ็นต์ที่สองอาทิตย์นี้ต้องแจกให้หมด แขกผู้ใหญ่ก็ไปเชิญมาครบร้อยเปอร์เซ็นต์แล้ว
การถ่ายภาพพรีเวดดิ้ง?
ต้าร์ : ก็จะแบ่งเป็นประมาณ 2-3 เซ็ตครับ มันเป็นเซ็ตที่มาจากเพื่อนๆ ที่ถ่ายรูปให้เซ็ตนึง แล้วอีกเซ็ตนึงก็จะเป็นรูปที่มาจากร้านเวดดิ้ง แล้วก็ตามบรรยากาศก็จะไปถ่ายกันที่หัวหิน ก็จะมีชุดไปรเวท ชุดแต่งงาน เราชอบอะไรเกี่ยวกับทะเลก็เลยเลือกไปทะเล
งานแต่งงานมีธีมยังไงบ้าง?
ต้าร์ : ธีมในงานก็ไม่มีอะไรมากครับ ก็จะเล่นเป็นธีมสีมากกว่า เล่นเป็นสีแนวพาสเทล แล้วอ้อมเป็นคนชอบดอกไม้ ก็จะแต่งๆ ให้เป็นแนวดอกไม้ สีหวานๆ
มีแพลนมีลูกเลยไหม?
อ้อม : ที่คุยๆ กันไว้ ก็ปล่อยไปตามธรรมชาติดีกว่า ถ้าเค้าจะมาก็ให้เค้ามา ถ้าเค้ายังไม่มาก็ชิวๆ ไปก่อน เที่ยวไปก่อน แต่ถ้าทางคุณแม่ คุณแม่ก็ให้แต่งงานคืออนุญาตให้มีลูกแล้ว อะไรแบบนี้ อารมณ์ประมาณว่าคุณแม่คุณพ่อก็อยากได้หลานแล้ว แต่ทางอ้อมก็ยังแบบไม่ได้รีบขนาดนั้น ก็เรื่อยๆ ปล่อยไปตามธรรมชาติดีกว่า
ต้าร์ : ก็ต้องปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติครับ ก็กลางๆ ไว้ก่อน เพราะว่าอายุก็เยอะแล้ว ถ้ามีก็มีเลย ถ้ายังไม่มีก็เที่ยวไปก่อน ปล่อยตามธรรมชาติเลยครับ
แพลนฮันนีมูน?
อ้อม : ก็เล็งเอาไว้ว่าคุณต้าร์เค้าจะไปซื้อของที่ญี่ปุ่น กะจะไปฮันนีมูนที่ญี่ปุ่นหนึ่งที่ แต่ส่วนอ้อมมีแพลนจะไปยุโรปกัน ก็ตามใจกันทั้งสองฝ่าย คือแต่งเสร็จอาจจะไปญี่ปุ่นก่อน แล้วก็ถ้าจะไปยุโรปก็คงจะต้องหยุดงานนาน อาจจะต้องแพลนนิดนึง แต่ว่าก็น่าจะเป็นสองที่นี้ค่ะที่เล็งเอาไว้
เขาชนะใจเรายังไง?
อ้อม : พ่อแม่เราดูแลใกล้ชิดมาก ทุกวันนี้ก็ยังนอนกับพ่อแม่ เราเป็นลูกคนเล็ก เมื่อก่อนคุณแม่ทำงาน พอมีลูก คุณพ่อก็ให้คุณแม่ออกจากงานเพื่อมาดูแลลูก เราจะอยู่กันเป็นแฝดกันคุณแม่ แล้วบ้านก็ค่อนข้างที่จะหัวโบราณเรื่องนี้มาก ไม่ค่อยให้ลูกเปิดเผยเรื่องผู้ชาย ณ ตอนนั้นก็ไม่เคยมีแฟนเลย พ่อแม่ค่อนข้างหวงมาก คือเพื่อนในกลุ่มจะรู้ดี แต่เรื่องอื่นก็จะใจดีมาก ต้องบอกก่อนว่าจริงๆ แล้วต้าร์ตอนเล่นละครช่วงแรกๆ เค้าเล่นเรื่องแรก ก็เล่นเป็นคู่พระนางกันเลย แต่หลังจากเล่นละครเสร็จ กลายเป็นว่าเรามีกลุ่มเพื่อนเป็นเพื่อนรักกัน แม่เราก็จะรู้ทุกอย่างว่าลูกไปไหน กับเพื่อนแม่จะโอเค มันเลยมีความใกล้ชิดเกิดขึ้นในกลุ่มนั้น ก็สองปีกว่าได้มั้ง กว่าที่จะคบกันเป็นแฟน ก็รู้ไส้รู้พุงกันหมด มันก็เปลี่ยนสถานะจากเพื่อนไปเป็นแฟน แต่ตอนนั้นก็ไม่ได้บอกใคร คือคุณแม่รู้ไม่ได้เหมือนกัน แต่ข้อดีของต้าร์คือเค้าเป็นสุภาพบุรุษมาก เค้าเสมอต้นเสมอปลาย เค้าจะเป็นคนที่ตรงมาก มีความจริงใจ เค้าจะไม่โกหก เราก็จะได้รับความจริงใจจากผู้ชายคนนี้ คือเค้าจะไม่ได้เป็นคนปากหวาน ไม่ได้เป็นคนโรแมนติก แต่ว่าเค้าให้ความจริงใจที่มีมากกว่า ก็เลยพัฒนามาเป็นแฟน ก็จะมีเพื่อนสนิทจริงๆ ที่รู้ว่าเราคบกัน นี่ก็เป็นสาเหตุที่หลายๆ คนอาจจะไม่รู้ว่าเราคบกัน เพราะจะเปิดเผยอะไรแบบนี้มากไม่ได้ เกรงใจคุณแม่ คุณพ่อ จนแม่เปิดรับมากขึ้น กว่าจะเข้าบ้านได้ กว่าจะยอมรับ คือแม่ไม่ได้เกลียดต้าร์นะคะ แม่รักมาก แม่ไว้ใจมาก แม่บอกเลยว่าต้าร์เป็นคนดี แต่พอมันจะเริ่มเปลี่ยนสถานะ เค้าก็จะรู้สึกไม่ค่อยโอเค กว่าต้าร์จะเข้าบ้านได้ ก็ 5-6 ปี กว่าแม่จะยอมรับว่าคนนี้คือแฟน ก็ใช้เวลานานเหมือนกัน กว่าจะได้แต่งงานก็อีกพักนึง คือยอมรับได้ก็ไม่ได้หมายความว่าจะให้แต่งงานเลย แม่ก็พูดว่าเค้าเป็นคนดี เค้าเสมอต้นเสมอปลาย แต่ว่าก็ไม่เห็นจะต้องรีบ จนมาวันนึงที่ผู้ใหญ่สองฝ่ายบอกว่าก็คบกันมาสักพักนึงแล้ว ก็ถึงเวลาแล้ว
ต้าร์ : ย้อนไปตอนแรกที่เล่นละครด้วยกัน เราก็ยังไม่ได้เป็นแฟนกันครับ เป็นเพื่อนในกลุ่ม เป็นเพื่อนกันเกือบๆ สองปี ถึงพัฒนาเป็นแฟนกัน มันเปลี่ยนจากความเป็นเพื่อน มันก็เลยคุยกันง่ายขึ้น เพราะเรารู้นิสัยกันหมดแล้วว่ามันเป็นยังไง ก็ปรับเข้าหากันได้ง่ายขึ้นด้วยครับ ทะเลาะกันมันมีอยู่แล้วครับ แต่มันก็ไม่ได้ร้ายแรงขนาดนั้น ไม่มีเหมือนคนอื่นที่บอกว่า 7 ปีจะมีเรื่องร้ายๆ ถึงต้องเลิกกัน คู่ผมไม่มีครับ ก็มีปัญหาบ้าง ความคิดไม่ตรงกันบ้าง แต่ว่ามันก็เคลียร์กันได้ ด้วยความที่เราเป็นเพื่อนกันมาก่อน ก็จะพูดกันตรงๆ ครับ ถามว่าถึงจุดไหนถึงคิดแต่งงานกันก็ด้วยเวลาด้วยครับ มันก็นานแล้วเหมือนกัน ก็เลยตัดสินใจแต่งงานกัน แต่บ้านอ้อมเค้า พ่อแม่เค้าจะค่อนข้างหวงลูกสาวนิดนึง ก็กว่าจะเข้าบ้านได้ ก็ต้องใช้เวลานิดนึง กว่าเค้าจะเชื่อใจเรา
ทำไมคุณพ่อคุณแม่ถึงยอมแล้ว?
อ้อม : แม่เป็นคนไม่สนใจเลยว่าใครจะรวย จะจน แม่เค้าขอให้เป็นคนดี แล้วก็รักลูกเค้า ต้าร์เป็นคนอดทน คือหลายๆ อย่างที่เค้าพิสูจน์ ก็เห็นชัดเจนแล้วว่าเค้ารัก ถ้าเป็นคนอื่นอาจจะไม่ทนขนาดนี้ เพราะว่าเปิดเผยกับแม่มากไม่ได้ตอนนั้น พอคุณแม่รู้ว่าคบกัน คุณแม่ก็จะงอนๆ นิดนึง จากที่คุณแม่สนิทกับต้าร์ พอรู้ว่าคบกับลูกสาวก็จะตึงๆ นิดนึง หวง แต่ต้าร์เค้าก็มีความอดทน แล้วแม่ก็เห็นว่าเค้าเป็นคนดี เค้าไม่เคยมานั่งร้องขออะไรมากมาย เค้าจะเข้าใจ แล้วเค้าก็จะให้เกียรติ อ้อมก็เลยมองว่าน่าจะเป็นจุดนี้มากกว่าที่ทำให้แม่เห็นว่าเค้าโอเค
ต้าร์ : ไม่รู้นะครับ ผมคิดเองว่าน่าจะเป็นเรื่องของเวลาเป็นตัวพิสูจน์มากกว่า
เล่าถึงวันที่เซอร์ไพรส์ขอแต่งงาน?
ต้าร์ : ก็มีเซอร์ไพรส์ ไปเกาหลีก็ขอแต่งงานตอนไปเที่ยวด้วยกัน ตอนนั้นเค้าก็ตื่นเต้น ก็ไม่ได้ทำเซอร์ไพรส์ใหญ่โต ก็ไปกันสองคน
อ้อม : เค้าเป็นคนขี้อาย เค้าจะต้องหลอกล่อให้อยู่กันสองคนจริงๆ ถึงจะเซอร์ไพรส์ ครั้งนี้ก็เซอร์ไพรส์มากสำหรับอ้อม เพราะปกติเค้าเป็นคนไม่เซอร์ไพรส์ ไม่ได้เป็นคนโรแมนติก เพื่อนๆ ก็จะมีโวยวายนิดนึงว่าไม่ได้ภาพ จริงๆ ต้าร์เป็นคนขี้อายมาก เค้าก็เลยแอบมาขอแต่งงานสองต่อสองที่เกาหลี ก็ตื่นเต้น จริงๆ ก็มีพูดคุยกันมาบ้าง แต่ไม่มีพูดคุยกันแบบจริงจัง เหมือนตัวเค้าเองก็ตื่นเต้นนะ ก่อนที่จะขอแต่งงานเราก็รู้สึกว่าวันนี้เค้าแปลกๆ เหมือนกัน ดูผิดปกติ เรารู้จักกันมานาน จะรู้เลยว่าวันนี้เค้าดูแปลกๆ เค้าจะเข้าห้องน้ำ แล้วก็ให้อ้อมนั่งรออยู่ แล้วเข้าห้องน้ำนานมาก รออีกทำไมไม่มาสักที แล้วเค้าก็หาของมาเซอร์ไพรส์ ก็หามุมที่ไม่มีคนอยู่เลย ตลกดี เค้าเขินไม่อยากให้ใครเห็น เราก็แซวเค้าไม่มีโมเม้นต์ขอแต่งงานเหมือนคนอื่นเลย ไม่มีถ่ายรูปเลย ไม่ได้มีลงไอจี ลงเฟสกับใครเค้าเลย เพราะเธอมาขอแต่งงานกันสองต่อสอง แต่สิ่งนึงที่พิสูจน์ได้หลายๆ อย่างคือเค้าไม่เจ้าชู้ ตั้งแต่เป็นแฟนกันจนถึงทุกวันนี้ ยังคุยโทรศัพท์กันวันนึงไม่รู้กี่ชั่วโมงค่ะ ก็ยังคงคุยกันได้อยู่ ก็จะเอาหูโทรศัพท์ใส่บลูทูธไว้ บางทีก็ไม่ได้มีเรื่องอะไรคุยกันหรอกค่ะ แต่ว่ามันก็อยู่ในสายตลอด ทำอะไรก็โทรหาตลอด คือเหมือนเดิม เค้าก็จะเสมอต้นเสมอปลายตลอด แล้วสิ่งนึงที่อ้อมประทับใจเค้าคือเราอยู่กันมานาน ก็ต้องมีอะไรที่ปรับตัวกันบ้าง แต่ที่คบกันได้มานาน มันไม่ได้มีบังคับกัน ให้เป็นตัวของตัวเองเต็มร้อยมากกว่า อยากเป็นอะไรก็เป็น แต่ด้วยความเป็นเพื่อนมาก่อนด้วยแหละ มันเลยรู้นิสัยกัน แต่อย่างนึงคือเวลาอ้อมอยู่กับเค้า อ้อมสามารถเป็นตัวของตัวเองได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ แล้วตัวเค้าก็เหมือนกัน อ้อมไม่ได้รู้สึกว่าอ้อมไม่ได้มานั่งจู้จี้จุกจิกเค้า เราก็จะไว้ใจซึ่งกันและกัน เราไม่ได้มานั่งโทรจิก โทรเช็ก อยู่กับเค้ามันเลยกลายเป็นมีความสบายใจ มันเลยอยู่กันได้นาน อยู่กันได้เรื่อยๆ
ต้าร์ : จริงๆ แล้วอ้อมเค้าดูแลเราดี คอยอยู่เคียงข้างเวลาเราท้อ เวลาเราเหนื่อย ก็คอยให้กำลังใจกัน ก็เลยรู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้โอเค เชียร์อัพเราเวลาเราท้อ
แต่งงานแล้วจะย้ายไปอยู่ด้วยกันสองคนไหม?
อ้อม : ตอนนี้ที่คุยกันคือต้าร์เค้าซื้อบ้านไว้อยู่แล้วค่ะ ก็อาจจะย้ายมาอยู่บ้านคุณต้าร์ แต่อ้อมก็คงไปๆ มาๆ บ้านแม่ ก็จัดห้องไว้ที่บ้านคุณแม่อีกห้องนึงด้วย ก็อาจจะใกล้ที่ไหนนอนนั่น อาทิตย์นึงอาจจะไปนอนกับแม่สักสองวัน มานอนบ้านต้าร์ห้าวัน อันนี้คือที่แพลนๆ ไว้เบื้องต้น ไม่ใช่แค่แม่นะ อ้อมก็ใจหาย เพราะปกติก็นอนกับแม่ทุกวัน แต่เราก็คุยกับต้าร์แล้ว ข้อดีของเค้าคือ เค้าก็อะไรก็ได้ สบายๆ ใช้ความเข้าใจอยู่ด้วยกันมากกว่า อ้อมจะเห็นบางคู่ที่บังคับกันมากๆ อ้อมก็จะคิดว่าเหนื่อยไหม ถ้ามันต้องมานั่งบังคับใครสักคนให้ได้ดั่งใจเราตลอดเวลา เราสองคนก็เลยมองตรงจุดนี้ ว่าเราจะไม่บังคับกันดีกว่า เราเข้าใจกันอยู่แล้ว อยู่กันด้วยความเข้าใจดีกว่า อีกอย่างนึงที่เราอยู่กันได้นานเพราะว่า ร่วมทุกข์ร่วมสุขค่ะ มันไม่ใช่แค่ร่วมสุข บางครั้งเราทุกข์สุดๆ ในชีวิต หรือสุขสุดๆ ในชีวิต สิ่งที่อ้อมประทับใจคือ ทุกครั้งที่อ้อมหันไป อ้อมก็จะเห็นเค้า จะเจอเค้าทุกครั้งเสมอ มันเป็นสิ่งที่ทำให้เราประทับใจในตัวเค้ามาก ก็มีกำลังใจให้กันและกัน เวลาเรามีความทุกข์ เรามีความสุข มันก็เลยอยู่ด้วยกันได้นาน อาจไม่ใช่คู่ที่ดูหวือหวาเหมือนคนอื่น แต่เราก็อยู่กันด้วยความเรียบง่าย อยู่กันด้วยความเข้าใจมากกว่า