เรื่องราวสุดเข้มข้น ชีวิตครบรส 9 ปี ใน A-Time ของ "ดีเจนุ้ย" และเหตุที่ตัดสินใจลาออก!
รับหน้าที่สร้างความสุข ความฮา พร้อมอัพเดทข่าวสารในวงการบันเทิงผ่านทางวิทยุ 94 EFM มานาน แต่ท้ายที่สุดแล้ว "ดีเจนุ้ย ธนวัฒน์ ประสิทธิสมพร" ก็ตัดสินใจลาออก ซึ่งเรื่องนี้ก็ทำให้หลายคนตั้งข้อสงสัยว่าเจ้าตัวนั้นมีปัญหาอะไรกับทางต้นสังกัดหรือไม่ เพราะก่อนหน้านี้เคยมีข่าวว่าดีเจนุ้ยมาทำงานสาย งานนี้ทาง "ดาราเดลี่" จึงได้ทำการล้วงลึกถึงสาเหตุดังกล่าว อีกทั้งชวนย้อนถึงตลอดระยะเวลา 9 ปีในสังกัดนี้ว่าเกิดอะไรในชีวิตของดีเจนุ้ยบ้างนั้น โดยเจ้าตัวก็ได้เล่าให้ฟังว่า
เริ่มแรกเรายื่นใบสมัครเข้ามาที่ A Time แล้วเขาก็เรียกเข้าสัมภาษณ์ตำแหน่งครีเอทีฟ แล้วพอสัมภาษณ์เสร็จเขาก็แนะนำให้เรามาเป็นนักข่าวบันเทิง เพราะเรามีประสบการณ์มาแล้ว แต่ว่าเราไม่อยากทำเท่าไหร่ เพราะว่าเป็นนักข่าวบันเทิงแล้วเหนื่อย ก็ชั่งใจอยู่นิดนึง แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจทำ พอเริ่มงานวันแรกก็เจอรุ่นพี่ที่เคยทำงานด้วยกันอยู่ที่ 94 EFM ด้วย เราก็เข้ามาเป็นคนที่สี่ในทีมงานเขา โต๊ะที่เรานั่งก็เป็นแบบโต๊ะปราบเซียน เพราะว่าใครมานั่งอยู่โต๊ะนี่ก็มักจะอยู่ได้ไม่นานแล้วก็ออกไป แล้วโต๊ะนี้ก็จะมีกระจกแปดเหลี่ยมติดไว้ด้วย (หัวเราะ) เพราะหลายคนมาก็อยู่ไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นก็ยังได้เจอการรับน้องจากพี่ๆ ทั้งสามคนนั้นด้วย เราเจอรับน้องหนักมาก เพราะว่าอาทิตย์แรกที่ไปทำงานเขาไม่ให้เราทำอะไรเลย จนเราต้องถามน้องที่อยู่ในออฟฟิศว่าที่นี่เขาทำงานกันยังไง เขาก็บอกว่าเดี๋ยวพี่อยู่ๆ ไปก็จะทำงานได้เอง แต่ว่าตอนนั้นก็ไม่มีใครคุยกับเราซักคนนึง (หัวเราะ) และจะอยู่ไปได้ยังไง เลยโทรไปหาเพื่อนที่อยู่สื่อบันเทิงคนนึงจนเพื่อนบอกหมายให้ฟังว่าแต่ละวันมีหมายที่ไหนบ้าง เราก็ไปตามหมายนั้นๆ จนกลายเป็นว่าเราไปทำงานปาดหน้าพี่ๆ ที่อยู่มาก่อนหน้านี้ จนถึงกับต้องมีการเรียกประชุมถึงการทำงานของเรา
ตอนนั้นเรายังไม่รู้เหตุผลเลยว่าเรียกทำไม พอถึงเวลาประชุมเขาก็เลยมอบหมายงานให้นุ้ยทำที่นุ้ยเรียกว่า โรงพัก โรงบาล ศาล วัด และอีเว้นท์ คือมันเป็นงานที่ไม่มีความจรรโลงใจเลย ทุกครั้งที่ไปก็มีแต่คนตาย ดาราโดนจับ จนสุดท้ายมารู้ว่าเราโดนแกล้ง เพราะว่าคนที่เขาอยู่สายอื่นๆ ก็ทำงานสายบันเทิงอย่างเดียว แล้วพออยู่ๆ ไปเราก็ใช้ความไม่รู้เรื่องของเรานี่แหละที่โตช้า เข้าใจอะไรยาก (หัวเราะ) ก็ทนอยู่ไปเรื่อยๆ ใครอยากกัดก็กัดไป จนมีพี่คนนึงเห็นว่าเราอดทนมากจนลาออกไป (หัวเราะ) แล้วพี่อีกสองคนก็มีเหตุที่ไปทำธุรกิจส่วนตัว กับพี่ดีเจจนเขาเลยต้องออกไป ตอนนั้นก็เลยเหลือเราคนเดียว กลายเป็นว่าพื้นที่นี้เป็นของเรา
อยู่ที่ A Time มาได้พักนึงก็เริ่มสนิทสนมกับพี่ “มดดำ” เขาก็เอ็นดูเราเพราะได้ทำแฉแต่เช้าด้วยกัน พอเขาเริ่มเอ็นดูเรา เขาก็พาเราไปที่นั่นที่นี่ พี่ "กฤษณ์” เองเขาก็ไว้วางใจในตัวนุ้ย จนมาถึงวันที่แฉแต่เช้าอยากเปลี่ยนรูปแบบรายการพร้อมทั้งหาคนเพิ่ม ทีนี้ก็ได้พี่ “ปอ วรฐก์” มา พี่มดดำก็เลยเอาเราไปเสนอนายให้ทำคู่กับพี่ปอ เพราะคิดว่าตรงกับคอนเซ็ปท์ของรายการ ตอนนั้นทำงานมาได้ 2 ปี ก็ได้มาจัดรายการวิทยุ
จริงๆ ก่อนหน้านั้นก็ได้ทำรายการช่อง TRUE มาก่อน ก็เลยได้ไปเจอกับพี่ “ฉอด” ก่อนที่จะกลับมาเป็บดีเจที่แฉ แล้วก็เริ่มมีงานหนังของ 5 Stars งานละครโพลีพลัสเข้ามา ก็เลยได้ออกรายการโทรทัศน์มาเรื่อยๆ จนเป็นที่รู้จัก ตอนนี้ก็รวม 7 ปีแล้วที่เป็นดีเจมากับอีก 2 ปีที่ทำงานเบื้องหลัง ก็อยู่ A Time มาทั้งหมด 9 ปี
สิ่งที่ทำให้อยู่มานานขนาดนี้ เริ่มต้นจากการที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยคือไม่รู้ว่าเขาแกล้งเรา (หัวเราะ) เริ่มต้นด้วยความอดทน จริงๆ ต้องยอมรับว่ามันมีทั้งความสุขและความทุกข์ เราอาจจะเป็นคนที่มองภายนอกอาจจะเป็นคนปากร้าย ตานุ้ยอาจจะดูเป็นคนตาร้าย แต่ว่าจริงๆ แล้วเราเป็นคนที่ไม่มีอะไรเลย คนเลยอาจจะไม่ชอบเรา แต่ว่าเรามีความสุขและความเติบโตกับงานที่ทำ เราไม่ได้ทำงานไปวันๆ แต่ว่าเรามีความเติบโตจากนักข่าวจนได้มาเป็นดีเจ นายเองก็มีคอนเซ็ปท์คล้ายๆ กับเรา และให้ความกรุณาเรา นายจะชอบถามว่าถ้าอยากทำ ก็ไปทำ นี่คือคำพูดที่นุ้ยได้ยินติดหูมา ก็เลยทำให้เราอยู่ได้นานถึง 9 ปี
เหตุการณ์ที่ช็อคมากกับการทำงานที่นี่ คือ สมัยก่อนที่จัดรายการใหม่ๆ ในปีแรก ก็โดนด่าเยอะมากตามกระทู้ออนไลน์ต่างๆ ด่ากันระเนระนาด เขาก็งงว่าเราเป็นใครมาจัดรายการแทนพี่กฤษณ์ พี่มดดำ ได้ยังไง เหมือนว่าเขาเป็นแฟนประจำเขาเลยไม่ค่อยพอใจที่เรามาทำแทน ทุกวันนี้ก็ยังไม่เป็นที่รักของชาวเว็บไซต์นี้เลย เพราะว่าถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่มีการพูดถึงเลย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องดีหรือไม่ดี เขาจะไม่พูดถึงเราเลยในเว็บนี้ เพราะมันเป็นการเริ่มต้นมาแบบไม่ดีตั้งแต่แรก แต่ตอนนั้นมีคอนเซ็ปท์เดียวคือทำยังไงก็ได้ให้เขารู้จักตัวตนของเราจริงๆ คือตอนนั้นพี่กฤษณ์และพี่มดดำทำไว้ดีมาก เพราะว่าเราเป็นเหมือนผู้นำของข่าวบันเทิงที่ไม่ว่าใครๆ ก็จะต้องเอาข่าวของเราไปใช้ แล้วเราเป็นนักข่าวด้วย เลยอยากเอาอะไรที่แรงที่ใช่มา แต่สุดท้ายมันเป็นผลดีกับเฉพาะภาพลักษณ์ของรายการ แต่ว่าไม่ได้เป็นผลดีต่อตัวเราเองเลย เพราะว่าเวลาออกไปทำงาน ก็ไม่กล้ามองหน้าดาราที่เราอ่านข่าวเขา อย่างพี่ปอเองก็เลิกออกงานอีเว้นท์เลย เพราะว่าพี่ปอเขาเคยเจอดาราที่พูดไม่ดีใส่เขาก็มีมาแล้ว เขาเลยไม่อยากเจอดาราเลย 1 ปีที่ทำงานตรงนั้นเราเจอทั้งการฟ้อง ทั้งชีวิตที่ยากลำบากในวงการบันเทิง เราเลยมานั่งคิดว่าเราทำไปเพื่ออะไร มันมีเบื้องหลังอะไรมากมาย จริงๆ พี่ฉอดพูดมาเองตลอดว่าเขาไม่ได้ภูมิใจกับการที่รายการแฉแต่เช้าจะต้องมาทำร้ายคนอื่นเลย เขาก็เลยยื่นคอนเซ็ปท์นึงมาให้กับเราว่าเขาไม่ได้ต้องการเป็นผู้นำนะ เราเป็นผู้ตามที่ดีก็ได้ เราเลยใช้โอกาสนี้ในการปรับเปลี่ยนตัวเอง ลองใช้เวลาในการปรับเปลี่ยนตัวเองให้คนมาชอบเรา แล้วก็โชคดีที่รายการทีวีหลายๆ รายการให้โอกาสเราไปออก เราเลยใช้โอกาสนี้แสดงความเป็นตัวของตัวเองออกมา เพื่อเปลี่ยนภาพที่คนเคยเห็นในรายการ คนก็เลยเริ่มติดความอารมณ์ดีของเรา เปิดรับเรามากขึ้น และเริ่มเป็นที่รักของเรา จากที่เคยว่าๆ ว่าเราหัวเราะอะไรเพ้อเจ้อก็กลายเป็นขอให้เราช่วยหัวเราะเพื่อเอาไปทำเป็นริงโทน
การจัดรายการของเราเองก็เปลี่ยนจากการจัดให้ถึงตาย เป็นการจัดรายการแบบสนุกสนานที่ไม่พาดพิง ก็เลยทำให้ดาราจากที่ตอนแรกมองหน้ากันไม่ติดก็กล้าที่จะกล้าเข้ามาคุยกับเรามากขึ้น เพราะเมื่อก่อนกลัวว่าคุยไปก็จะเป็นประเด็นเปล่าๆ
จุดตรงไหนที่ทำให้เรารู้สึกว่าพอ จริงๆ ต้องบอกว่าทุกๆ ปีจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับ A Time อยู่แล้วจากคลื่นเองที่อยากจะเปลี่ยนคอนเซ็ปท์บ้าง ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มเติมหรือลดทอนดีเจบ้าง จริงๆ เราก็ยังติดอยู่ในผังอยู่ แต่ว่าดีเจที่จัดอยู่กับนุ้ยปกติเขาไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว และคอนเซ็ปท์ในปีนี้ของคลื่นก็ค่อนข้างที่จะสวิงพอสมควร คือ มีการปรับไปปรับมาพอสมควร ซึ่งมันมีความไม่แน่นอนเกิด แล้วบวกกับพี่ปอออกด้วย เราก็รู้สึกว้าเหว่ จริงๆ เราจัดรายการกับใครก็ได้ แต่ว่าเรารู้สึกผูกพันกับเขา ตอนแรกไม่คิดว่าจะร่วมงานกันได้ เพราะว่าพี่ปอเป็นผู้ช้ายผู้ชาย แต่ว่าสุดท้ายเราก็ทำงานด้วยกันได้
ยิ่งไปกว่านั้นตลอดเวลาที่อยู่ A Time ก็รู้สึกเหมือนอยู่มหาวิทยาลัยชีวิตที่สอนมากมาย และครั้งนี้เป็นการออกมาแบบผู้ใหญ่ให้โอกาสด้วยคอนเซ็ปท์เดิมที่ว่า อยากทำก็ทำ ไม่ใช่คุยกันครั้งเดียวแล้วจบ แต่ว่าเป็นการคุยกันถึง 4 ครั้ง การออกครั้งนี้เปรียบง่ายๆ ก็เหมือนกับเป็นการเลิกกับสามีเลยนะ (หัวเราะ) มันคิดหลายๆ อย่าง เพราะที่นี่ให้อะไรกับเราเยอะมาก และวันนี้รู้สึกเหมือนเรียนจบ และตัดสินใจจะออกไปหาอะไรใหม่ๆ
ไม่กลัวคนมองมีปัญหาเลย แม้กระทั่งข่าวที่ว่าห้ามเรียกว่าดีเจนุ้ย ถ้าไปอ่านเนื้อข่าวจริงๆ แล้วมันไม่มีอะไรเลย เพราะจริงๆ วันนั้นที่สัมภาษณ์เขาถามนุ้ยว่าให้เรียกว่าดีเจนุ้ยได้มั้ย ก็แค่บอกว่าให้เรียกว่าดีเจได้ยังไงในเมื่อออกมาจาก A Time แล้ว เราก็เลยบอกไปว่าเรียกนุ้ยเฉยๆ ก็ได้ แต่ว่าเรื่องนั้นก็ดันกลายมาเป็นเรื่องใหญ่ทำให้คนมองว่าเรามีปัญหารึเปล่า จริงๆ แล้วจะเรียกว่าอะไรก็ได้นะ จะเรียกว่าดีเจก็ได้ และวันที่มีข่าวนุ้ยก็ยังได้มีโอกาสไปที่ A Time อยู่ เพราะว่ายังเล่นละครด้วยกันอยู่ ก็ไม่มีปัญหาอะไร ก็ยังเจอนายได้ปกติ นอกจากนี้ก็ยังได้มีโอกาสได้เข้าไปรดน้ำดำหัวนายด้วยที่งานของแกรมมี่ นายก็ยังอวยพรอยู่เรื่องความรัก เพราะนายรู้ว่าเราต้องการเรื่องอะไร นายรู้ว่าเราขาดความรัก (หัวเราะ) ก็เราเคยถามพี่ฉอดว่าเพราะอะไรเราถึงยังไม่มีคนมาซะที เขาก็บอกว่าให้ถามตัวเองเถอะ ตัวเองน่าจะตอบคำถามนี้ได้ดีที่สุด (หัวเราะ) นายก็คงจะเห็นจุดนี้ว่าเราต้องการในจุดไหน ก็เลยอวยพรให้เรามีความรักที่ดีๆ
ถามว่ามีงานไหนที่ยังอยากทำอีกมั้ยบอกเลยว่า เข้ามาในวงการได้อย่างคุ้มค่ามาก เพราะว่าได้ทำทุกอย่างหมดแล้ว แม้แต่การเล่น MV หรือการเดินแบบแฟชั่นวีคงานใหญ่ๆ ก็รู้สึกว่าเราโชคดีที่ได้รับโอกาสจากหลายๆ ที่ ตอนนี้คือใครจ้างอะไรเราก็ทำได้หมด คิดอยู่อย่างเดียวว่าจะทำให้เต็มที่ที่สุดเพื่อคนดูเท่านั้นเอง
หลังจากนี้ก็รับรายการเยอะขึ้น ก็จะผันตัวไปดูในส่วนของงานเบื้องหลังเกี่ยวกับรายการที่มันเป็นเราด้วย เพราะว่าเราเรียนนิเทศมา เราเชื่อว่าเราทำได้ กับทำธุรกิจเกี่ยวกับ beauty ถ้าได้ทำหมดนี่ก็ถือว่าได้ทำครบแล้วในวงการนี้ ตอนนี้ก็เหลืออยู่เพียงว่าจะได้มีโอกาสหรือไม่ เพราะว่างานเบื้องหน้าเราได้รับโอกาสแล้ว ตอนนี้ก็ขอโอกาสทำงานเบื้องหลังบ้าง
ท้ายสุดต้องกราบโอกาสจากผู้ใหญ่ก่อนเลยที่ให้โอกาสมาตลอด โอกาสดีๆ จากทั้ง A Time, ค่ายหนัง ค่ายละคร ไม่เคยลืมเลย โอกาสดีๆ จากรายการต่างๆ ที่สำคัญที่สุดเลยคือการยอมรับจากคนดู จากแฟนๆ รายการที่เขาเปิดใจให้กับเรา ขอขอบคุณที่ติดตาม ก็จะทำผลงานไปเรื่อยๆ ให้คนได้ติดตามต่อไป