‘ทูน หิรัญทรัพย์’ กับมุมอับของชีวิต
สร้างความสุขความบันเทิงให้กับแฟนๆ มายาว นานกว่า 30 ปี กับบทบาทของนักแสดงจอเงินและจอแก้ว สําหรับอดีตพระเอกยอดนิยม “ทูน หิรัญทรัพย์” แม้เบื้องหน้าจะเห็นรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ แต่เบื้องหลังชีวิตจริงกลับต้องต่อสู้กับปัญหาชีวิตหลายด้าน จนเกือบคิดสั้นปลิดชีวิตตัวเอง
หากย้อนกลับไปเมื่อ 6-7 ปีที่ผ่านมา “ทูน” ต้องตกอยู่ในสภาพของการสูญเสียการมองเห็นแบบเฉียบพลัน เพราะผลมาจากโรคเบาหวานแบบไม่ทันตั้งตัว และถึงแม้จะสามารถรักษาได้ทัน แต่อดีตพระเอกคนดังก็ต้องเสียตาข้างขวาไป 1 ข้าง และยังคงต้องระมัดระวังไม่ให้ดวงตาข้างที่เหลือมืดลงอีก
“สําหรับเรื่องตา ตอนนี้ยังไม่ดีขึ้น มันจบมาตั้งแต่ตอน 6-7 ปีที่แล้ว ตอนเป็นแรกๆ เป็นแบบฉับพลัน เราก็ทั้งผ่าตัด ทําทุกอย่าง แต่ก็ไม่ได้ดีขึ้น เพราะแก้ปลายเหตุมากกว่าต้นเหตุ ตอนเป็นเราไม่รู้ ทําให้เส้นประสาทตาหายหมด ตอนนั้นก็ค่อยๆ มืด แต่ตอนนี้มืดสนิท ต้องรักษาไม่ให้ข้างซ้ายเป็น ซึ่งก่อนหน้านั้นคุณหมอ สกัดไว้ได้ทันก็เลยรักษาไปเรื่อยๆ
ก่อนหน้านี้ไม่เคยคิดเลยว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้กับเรา ช่วงแรกก็มีความกังวล เครียดแบบไม่มีคําตอบ กระวนกระวายพยายามจะหาทางออก หาคําตอบหาสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อที่จะมาแก้ไขปัญหาที่มีอยู่ ทําให้เราฟุ้งซ่าน พยายามช่วยเหลือตัวเอง แก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น แต่ว่าสุดท้ายมนุษย์ทุกคนจะต้องเจอ จะต้องสะดุด ต้องมีจุดพักของชีวิต เมื่อเราเจอปัญหา มรสุมชีวิต เราต้องเผชิญกับปัญหา เผชิญกับความจริง แล้วคําตอบที่ได้มาก็คือ เดี๋ยวก็ผ่านไป”
จากปัญหาสุขภาพบานปลายมาสู่ปัญหาสังคมแวดล้อม และปัญหาด้านการงาน ทําให้ชั่ววูบหนึ่งของ “ทูน หิรัญทรัพย์” ถึงกับเอ่ยปากว่า เคยมีความคิดอยากจบชีวิตตัวเองลง แต่เพราะคําว่า “ลูก” ทําให้อดีตพระเอกหวนคิดใหม่และเดินหน้าสู้กับปัญหาต่อไป
“ตอนเครียดทุกคนจะคิดไม่เป็น กลัวสร้างภาระให้คนอื่น เพราะจะต้องมีคนคอยจูงพาเข้าฉาก แต่พอเรารู้สึกตัว และมีสามัญสํานึกว่าลูกยังมีนะ ทําให้ทุกอย่างต้องยุติ ที่ผ่านมาลูกก็ให้กําลังใจทุกเรื่อง ทั้งมาอยู่กับเรา นอนกับเรา 3 วัน 2 วันแล้วก็กลับบ้าน และอีกเหตุผลคือ พระราชินีรับเราเป็นคนไข้ในราชินีอุปถัมภ์ เราก็เลยไม่คิดฆ่าตัวตาย แต่เราก็โชคดี ปรับตัวได้ เพราะเราผ่านอะไรมาเยอะ ไม่มีอะไรหนักหนาแล้ว เราถึงได้มาบอกกับคนอื่นได้ ดั่งคําของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงตรัสว่า ความเครียดมนุษย์เราไม่จีรัง ไม่ถาวร นึกถึงสิ่งที่เราจะทําในอนาคตดีกว่า สิ่งที่ผ่านไปแล้วแก้ไขอะไรไม่ได้ แต่สิ่งที่เราจะประเมินหรือกําหนดได้คือ อนาคต เพราะฉะนั้นเราไปมองถึงอนาคตดีกว่า
อย่างงานในวงการ พอเราบอกว่าตาเราเป็นแบบนี้ คนเขาไม่เอาเราทํางานก็แค่นั้นเอง เป็นเรื่องปกติ พิการ แต่พอดีเป็นจังหวะของชีวิต อย่างตอนเราเข้าวงการมาใหม่ๆ เราเป็นพระเอกขาดตลาด พอเราอายุมาก คนเล่นเป็นพ่อขาดตลาด ก็เลยหาพ่อที่เหมาะสมกับ นางเอกหลายๆ คนได้ ก็คงจะมีน้อย แต่ว่าไม่เป็นไร ไม่คิดมาก เพราะเหมือนกับช่วงหนึ่งที่ขับรถไปนานๆแล้วก็ต้องจอดรถพักนิดหนึ่ง เหมือนกันกับช่วงที่เรา ไม่สบายเราก็จอดพัก เมื่อเราแข็งแรงดี ก็ทํางานต่อ”
นอกจากงานในวงการบันเทิงแล้ว “ทูน” ยังทํางานเพื่อสังคมและเยาวชนอีกหลายโครงการ เป็นเวลากว่า 11 ปี และถือเป็นเป้าหมายในอนาคตที่เจ้าตัวอยากฝากผลงานไว้เป็นสิ่งสุดท้ายของชีวิต
“ละครที่มีตอนนี้ก็มี กลกิโมโน, พ่อครัวหัวป่าก์, ละครของกันตนา ช่อง 7 ประมาณ 4 เรื่อง งานก็ไม่เยอะเท่าไหร่นะ ส่วนใหญ่เป็นคนรู้จัก จะปฏิเสธก็ไม่ได้ เขาอยากให้เราไปร่วมงานด้วย อยากให้เราไปร่วมสร้างสีสัน เราก็โอเค ไม่มีปัญหา ส่วนงานเพื่อสังคม จริงๆ ทํามา 11 ปีแล้วนะ ตอนนี้ก็เป็นที่ปรึกษาหลายด้านเลย ทั้ง กกต., ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด แล้วก็ทําเกี่ยวกับเรื่องการค้าระหว่างประเทศ ทําเนียบรัฐบาล ก็สนุกนะ ได้มีส่วนร่วม และคงเป็นผลงานสุดท้ายที่อยากฝากไว้ เพราะเราตั้งเป้าว่าอายุ 64 เราจะเลิก”
วันนี้ “ทูน” ยังต้องเผชิญกับปัญหาโรคต้อหิน และยังต้องไปพบแพทย์เป็นประจําทุกเดือน การมองเห็นยังคงเป็นเรื่องลําบาก แต่ไม่ว่าอย่างไรตาม เขาพยายามใช้เวลาทุกวินาทีให้มีค่าไปกับการทํางานเพื่อตนเองและสังคม