ตราบาปในใจ "กำปั้น บาซู"

ตราบาปในใจ "กำปั้น บาซู"

1

    กำปั้น บาซู มีชื่อจริงว่า พีระ พาณิชย์พงส์ โดยก่อนหน้านี้เคยใช้ชื่อ เอกประพันธ์ พานิชพงส์ และ คริชณะ พาณิชย์พงษ์ ตามลำดับ ก่อน กำปั้น มาทำงานกับวงบาซู  เขาเคยร้องเพลงตามเธค และไนต์คลับ มาก่อน จากนั้นแมวมองของ อาร์เอสฯ ไปพบเข้า จึงชวนกำปั้นมาทดสอบงาน และได้เข้ามาเป็นสมาชิกวงบาซูคนสุดท้าย 

    บาซูมีผลงานอัลบั้มเต็มถึง 5 ชุดด้วยกัน นอกจากนี้ วงบาซู ยังมีอัลบั้มพิเศษอัลบั้ม Bazoo 2000 ที่บาซูไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์การทำงานเพลงในประเทศไต้หวัน และอัลบั้ม THE CELEBRATION ที่วงบาซูก็ร่วมร้องเพลง เท้าไฟ ในอัลบั้มนี้ด้วยเช่นกัน รวมทั้ง มีผลงานออกมาให้ได้ชมกัน 12 อัลบั้ม

    หลังจากนั้น วงบาซูก็ประกาศยุบวง และแยกย้ายกันไป แต่ถึงอย่างนั้น กำปั้น ก็ยังคงทำงานเพลงต่อไป โดยมารวมตัวกันกับเพื่อนๆ อีก 5 คน และกลายมาเป็นอัลบั้มที่ชื่อว่า แดนซ์ อาร์มี่ โดยมีเพลงกองพันเท้าไฟ เพลงชะ ชะ ช่า และต่อหน้าฉัน อดีตเพลงฮิตของวงดีทูบี เป็นเพลงเปิดตัว ซึ่งกระแสตอบรับออกมาดี ทำให้แดนซ์ อาร์มี่ ปล่อยอัลบั้มที่ 2 คลอดออกมา โดยใช้ชื่อว่า Dance War  และหลังจากนั้น กำปั้น ก็ห่างหายจากวงการเพลงไป หันไปรับงานละคร ภาพยนตร์ และถ่ายแบบแทน

    ต่อมาในปี 2554 กำปั้น กลับมาอีกครั้งพร้อมกับอัลบั้มเดี่ยวในสังกัด Bounce Music และปล่อยเพลงออกมาชื่อว่า ยังรักกันหรือเปล่า (I Want To Know) แต่ไม่ประสบความสำเร็จและเป็นที่รู้จักของคนฟังมากนัก 

    กำปั้น กลับมาเป็นทอล์คออฟเดอะทาวน์อีกครั้ง ด้วยการตัดสินใจถ่ายแบบหวือหวา จนทำให้เกิดข่าวลือต่างๆ ตามมา ไม่ว่าจะเป็นดาราตกอับ ติดหนี้การพนัน ขายบริการ จนถึงขั้นติดเอดส์  

    ความโด่งดังและชื่อเสียง ล้วนไม่คงทนถาวรและยั่งยืนสำหรับดารานักร้องในวงการบันเทิง ที่ผ่านมาไม่ว่าจะกี่ยุคกี่สมัยย่อมเป็นเครื่องพิสูจน์ได้อย่างแท้จริง เมื่อกาลเวลาเปลี่ยน ยุคสมัยเปลี่ยน ทุกสิ่งย่อมเปลี่ยนแปลงตามเป็นเหมือนวัฏจักร นั่นคือ คลื่นลูกเก่าจากไปคลื่นลูกใหม่เข้ามาทดแทน จะเหลือไว้ก็เพียงความทรงจำ  

    “การสร้างกระแส” เพื่อให้เกิดประเด็นร้อน เป็นหนึ่งวิธียอดฮิตของคนดังในวงการบันเทิงที่ต้องการให้ชื่อของตัวเองอยู่บนหน้าสื่อ หรือเป็นประเด็นให้มีคนพูดถึง ซึ่งผลลัพธ์ที่หวังจะได้ตามมาก็คือ “งาน” และ “เงิน”

    เช่นเดียวกับ “กำปั้น บาซู” ที่ขอโหนเกี่ยวกระแสตามคำแนะนำของคนใกล้ชิด เพื่อขอหวนคืนสู่วงการบันเทิงอีกครั้ง ด้วยการถอดเสื้อผ้าถ่ายแบบโชว์เรือนร่างหลังจากหลบไปทำใจเพราะข่าวเสียหายบนหน้า 1 ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้รับกลับมาไม่ได้เป็นไปตามความคิด เพราะนอกจากจะมีชื่อโผล่ขึ้นบนหน้าสื่อให้คนได้เห็นกันแล้ว ข่าวเสียหายยังตามมารบกวนจิตใจเจ้าตัวเอง ไม่แพ้ข่าวฉาวที่ผ่านมา

      ก่อนการประกาศยุบวง “บาซู” ถือเป็นหนึ่งในนักร้องกลุ่มแห่งยุค 90 ที่มีผลงานติดหูติดตา และติดอยู่ในอันดับต้นๆ ของประวัติศาสตร์เพลงไทยสากลที่ได้รับความนิยมทั้งเพลงและศิลปิน ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดของความสำเร็จในชีวิตที่ กำปั้น ได้สัมผัสมา ซึ่งเขาได้นึกย้อนเล่าให้ฟังถึงความสำเร็จในอดีตของวงบาซูว่า

    “ตอนนั้นเราเป็นวงแดนซ์ที่ไม่เหมือนใคร เต้นแรง แรกก็หวั่นๆ ทุกคนในบริษัท รวมทั้งเฮียเองก็คิดว่า ออกไปตามกระแสเท่านั้นเอง แต่ปรากฏว่ามีการตอบรับที่ดี รวมถึงได้ทำงานกับไต้หวัน และเป็นเบอร์แรกของ อาร์เอสฯ ที่ได้ออกซิงเกิ้ลเพลงภาษาจีนกลาง ทั้งหมด 10 อัลบั้ม แล้วผมก็มาออกอัลบั้ม Dance Army อีก 2 อัลบั้ม เท่ากับ 12 อัลบั้มในวงการเพลง

    ในเวลาช่วงไม่กี่ปี ไม่ต้องทำอย่างอื่นเลยครับ ทำแต่งานเพลง ทัวร์คอนเสิร์ตอยู่ต่างจังหวัดส่วนมาก ก็เป็นการตอบรับที่ดีครับ โชคดีมากที่อยู่ทันในยุคของธุรกิจเพลงเฟื่องฟู ได้สัมผัสความรู้สึกยอดขายครบ 1 ล้านตลับ มีคอนเสิร์ต 500 กว่าคอนเสิร์ตในช่วงไม่กี่ปี ประทับใจและก็คิดว่าโอกาสอย่างนี้หาไม่ได้แล้ว” 

    หลังจากการแยกย้ายไปทำหน้าที่ของแต่ละคน “กำปั้น” ยังคงวนเวียนทำงานเพลง เล่นหนัง เล่นละคร ซึ่งแม้จะมีผลงานออกมาให้ได้เห็นกัน แต่นั่นก็ไม่ได้มากมายเหมือนเดิม ประกอบกับมีข่าวเสียหายเกี่ยวกับการพนันเข้ามายิ่งทำให้งานหดหายกลายเป็นช่วงขาลงของเขาบนเส้นทางวงการบันเทิงไปโดยปริยาย 

    “หลังจากทำ Dance Army ก็มีข่าวเรื่องติดการพนันจนเป็นหนี้ ซึ่งเรื่องจริงคือ เราออกตัวไปใช้หนี้แทนเพื่อนประมาณ 3 แสนบาท อาจจะเป็นจุดนี้ทำให้เราไปพัวพันเรื่องการพนันฟุตบอล และบวกกับตอนนั้นคุยโทรศัพท์กับ พี่โจอี้ แล้วนักข่าวได้ยิน จึงเอาไปตีความเป็นอีกอย่าง ตอนนั้นลงข่าวหน้า 1 แรงมาก แต่สุดท้ายเขาก็แก้ข่าวให้ เราก็ไม่คิดอะไร คิดว่าเป็นวงการบันเทิง 

    พอข่าวนี้ออกมา คนก็นึกว่าเราเดือดร้อนเงิน ทำให้มีคนติดต่อเข้ามาเพื่อจะขอซื้อบริการเพื่อจะให้เงินเรา แต่ผมไม่ได้เดือดร้อน เราเองก็มีพอกินพอใช้ ซึ่งจากข่าวนั้นทำให้สังคมมองเราทางลบไปแล้ว ทุกอย่างโดนเบรกไปหมด พอโดนเบรกเราก็ท้อ เราก็สู้ไม่ไหวกับข่าว ยิ่งแก้ยิ่งพูดก็เหมือนกับยิ่งย้ำ ก็เลยตัดสินใจไปต่างประเทศ”

    กำปั้น กลับมาเป็นข่าวทอล์กออฟเดอะทาวน์อีกครั้ง เมื่อเขาตัดสินใจหวนคืนวงการด้วยการถอดเสื้อโชว์เรือนร่าง แต่การตัดสินใจครั้งนั้น เขารู้สึกว่า “พลาด” จนวันนี้

    “ตอนตัดสินใจถ่ายแบบตอนนั้น เพราะอยากจะกลับเข้าวงการ เราอยากทำงานเพลง ก็เลยมาปรึกษาผู้ใหญ่ เขาก็บอกว่า ตอนนี้เราหลุดไปแล้ว เราต้องสร้างกระแส ตอนนั้นภาพนิกกี้ถ่ายกำลังดัง และดังเร็วมาก เราคิดว่าแค่ฟิตหุ่นถ่ายปุ๊บออกเลย แต่ถ้าละครต้องรอ เพลงก็ต้องไปขาย ก็เลยตัดสินใจถ่าย ไม่ได้คิดอะไร แค่ถ่ายถอดเสื้อเฉยๆ ปรากฏว่าพอถ่ายออกมา ด้วยหัวหนังสือและการโปรโมทของเขา แล้วเขาเขียนว่า “กำปั้น ถ่ายนู้ด” ทำให้คนที่ไม่ได้ซื้อหนังสือ เขาก็คิดว่า เราถ่ายจริง ก็ยิ่งย้ำกระแสตัวเองเข้าไปอีก แต่เราก็ทำอะไรไม่ได้เพราะทุกอย่างถ่ายไปแล้ว ไม่เป็นไรก็เริ่มใหม่”

    การกลับมาสู้และเริ่มต้นใหม่อีกครั้งของ กำปั้น แม้จะไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบและยิ่งใหญ่เหมือนในสมัยยุคเฟื่องฟูดังแต่ก่อน แต่ก็ถือว่า กำปั้น ได้สัมผัสประสบการณ์ยิ่งใหญ่ที่ใครหลายๆ คนฝันอยากจะไปให้ถึงเช่นเดียวกัน แม้ว่าผลจะออกมาไม่ได้เป็นไปตามหวัง แต่เขาก็ถือว่า นั่นคือประสบการณ์ชีวิต

     “ตอนกลับเข้าวงการอีกครั้ง ก็มาออกซิงเกิ้ลเดี่ยว หลังจากโดนยิงตอนที่มีม็อบ ปีนั้นคิดว่าแย่มากหลายๆ เรื่องทั้งเรื่องตัวเอง และคุณพ่อมาป่วยเป็นอัมพาตอีก แต่ก็พอมีจังหวะอยู่บ้าง คือ พอออกซิงเกิ้ลเสร็จ ก็มีโอกาสได้ทำงานกับค่ายเพลงเกาหลีที่ชื่อ “JYP” ก็ได้ร่วมงานกันได้รู้จักกัน แต่ก็มีปัญหาอีก ทำไปได้แค่เพลงเดียว ก็ไม่ได้ทำต่อ ก็เสียดายโอกาสเหมือนกัน ก็ถือว่าเป็นประสบการณ์เล็กๆ” 

    วันนี้ กำปั้น เก็บประสบการณ์ที่ผ่านมาเป็นบทเรียนรู้สอนตัว รอบคอบกับทุกก้าวในการใช้ชีวิต และมองอนาคตให้มากขึ้น โดยเขาวางแผนต่อจากนี้อีก 3 ปีจะขอยุติบทบาทงานเบื้องหน้าในวงการบันเทิงลง และผันไปอยู่เบื้องหลัง พร้อมกับแต่งงานมีครอบครัวทันที หากพบเจอใครที่ถูกใจ

    “ข่าวที่ผ่านมา เรามองเห็นคนภายนอกมีสายตาเปลี่ยนไป คือ คนที่เราไม่รู้จัก เราจะเฉยๆ แต่อย่างแฟนคลับบางกลุ่มหรือคนที่อยู่ในบริษัทที่เขาไม่รู้เรื่องจริงๆ เขาก็อาจจะมองว่าเราว่าเป็นคนอย่างนั้น เราก็รู้สึกไม่สบายใจ ตอนนี้ไม่กลัวอะไรแล้วเพราะเจอเรื่องหนักมาเยอะ พร้อมลุยเต็มที่ ผมไม่ท้อนะ ในความโชคร้ายหลายๆ โอกาสก็เหมือนกับให้เรารู้ ตอนเรามีชื่อเสียง มีเพื่อนเป็นร้อยไม่รู้ว่าใครเป็นใคร แต่ว่าวันที่เป็นขาลงของชื่อเสียง เราก็ได้เจอเพื่อนที่จริงใจ ก็ดีครับได้เรียนรู้ดี เมื่อก่อนเราเป็นคนง่ายๆ ก็เป็นการตัดสินใจของเราเองที่ผิดพลาด แต่ไม่เป็นไร เราก็ทำดีที่สุดแล้ว ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราก็ไม่เป็นไร ตอนนี้ก็สกรีนคนมากขึ้น มองคนให้ละเอียดมากขึ้น ตัดสินใจช้าลง มองถึงอนาคตมากกว่า

    และอยากจะทำงานอีก 3-4 ปี แล้วแต่งงานมีครอบครัว อยากมีลูกครับ นี่คือความฝัน คิดว่าถึงเวลาที่เราต้องมีครอบครัวแล้ว และก็ด้วยวัย เราก็รู้ว่าวงการบันเทิงอยู่ได้ไม่นานขึ้นๆ ลงๆ เราก็ต้องเตรียมใจเผื่อเอาไว้ เราคิดว่าหลังจาก 3 ปีเราก็อยากจะทำงานเบื้องหลังด้านเพลง ด้านเต้น”

     วันนี้ กำปั้น กำลังจะมีผลงานละคร 4 เรื่อง ทางช่อง 3 มาให้ได้ชมกัน ได้แก่ ดาวเคียงเดือน, เสือ, บุษบาหน้าตลาด และบางระจัน รวมทั้ง ภาพยนตร์แนวอีโรติคที่มีชื่อว่า “สาปสมิง” ซึ่งรับบทนักแสดงนำประกบคู่กับ ชาม โอสถานนท์ ซึ่งภาพยนตร์เรื่องนี้ กำปั้น ออกอาการหวั่นใจเกี่ยวกับกระแสของภาพยนตร์เรื่องนี้ว่า จะแรงไม่แพ้ข่าวฉาวที่ผ่านมาหรือเปล่า

    ความโด่งดังและชื่อเสียง ล้วนไม่คงทนถาวรและยั่งยืนสำหรับดารานักร้องในวงการบันเทิง ที่ผ่านมาไม่ว่าจะกี่ยุคกี่สมัยย่อมเป็นเครื่องพิสูจน์ได้อย่างแท้จริง เมื่อกาลเวลาเปลี่ยน ยุคสมัยเปลี่ยน ทุกสิ่งย่อมเปลี่ยนแปลงตามเป็นเหมือนวัฏจักร นั่นคือ คลื่นลูกเก่าจากไปคลื่นลูกใหม่เข้ามาทดแทน จะเหลือไว้ก็เพียงความทรงจำ  

    “การสร้างกระแส” เพื่อให้เกิดประเด็นร้อน เป็นหนึ่งวิธียอดฮิตของคนดังในวงการบันเทิงที่ต้องการให้ชื่อของตัวเองอยู่บนหน้าสื่อ หรือเป็นประเด็นให้มีคนพูดถึง ซึ่งผลลัพธ์ที่หวังจะได้ตามมาก็คือ “งาน” และ “เงิน”

    เช่นเดียวกับ “กำปั้น บาซู” ที่ขอโหนเกี่ยวกระแสตามคำแนะนำของคนใกล้ชิด เพื่อขอหวนคืนสู่วงการบันเทิงอีกครั้ง ด้วยการถอดเสื้อผ้าถ่ายแบบโชว์เรือนร่างหลังจากหลบไปทำใจเพราะข่าวเสียหายบนหน้า 1 ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้รับกลับมาไม่ได้เป็นไปตามความคิด เพราะนอกจากจะมีชื่อโผล่ขึ้นบนหน้าสื่อให้คนได้เห็นกันแล้ว ข่าวเสียหายยังตามมารบกวนจิตใจเจ้าตัวเอง ไม่แพ้ข่าวฉาวที่ผ่านมา

      ก่อนการประกาศยุบวง “บาซู” ถือเป็นหนึ่งในนักร้องกลุ่มแห่งยุค 90 ที่มีผลงานติดหูติดตา และติดอยู่ในอันดับต้นๆ ของประวัติศาสตร์เพลงไทยสากลที่ได้รับความนิยมทั้งเพลงและศิลปิน ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดของความสำเร็จในชีวิตที่ กำปั้น ได้สัมผัสมา ซึ่งเขาได้นึกย้อนเล่าให้ฟังถึงความสำเร็จในอดีตของวงบาซูว่า

    “ตอนนั้นเราเป็นวงแดนซ์ที่ไม่เหมือนใคร เต้นแรง แรกก็หวั่นๆ ทุกคนในบริษัท รวมทั้งเฮียเองก็คิดว่า ออกไปตามกระแสเท่านั้นเอง แต่ปรากฏว่ามีการตอบรับที่ดี รวมถึงได้ทำงานกับไต้หวัน และเป็นเบอร์แรกของ อาร์เอสฯ ที่ได้ออกซิงเกิ้ลเพลงภาษาจีนกลาง ทั้งหมด 10 อัลบั้ม แล้วผมก็มาออกอัลบั้ม Dance Army อีก 2 อัลบั้ม เท่ากับ 12 อัลบั้มในวงการเพลง

    ในเวลาช่วงไม่กี่ปี ไม่ต้องทำอย่างอื่นเลยครับ ทำแต่งานเพลง ทัวร์คอนเสิร์ตอยู่ต่างจังหวัดส่วนมาก ก็เป็นการตอบรับที่ดีครับ โชคดีมากที่อยู่ทันในยุคของธุรกิจเพลงเฟื่องฟู ได้สัมผัสความรู้สึกยอดขายครบ 1 ล้านตลับ มีคอนเสิร์ต 500 กว่าคอนเสิร์ตในช่วงไม่กี่ปี ประทับใจและก็คิดว่าโอกาสอย่างนี้หาไม่ได้แล้ว” 

    หลังจากการแยกย้ายไปทำหน้าที่ของแต่ละคน “กำปั้น” ยังคงวนเวียนทำงานเพลง เล่นหนัง เล่นละคร ซึ่งแม้จะมีผลงานออกมาให้ได้เห็นกัน แต่นั่นก็ไม่ได้มากมายเหมือนเดิม ประกอบกับมีข่าวเสียหายเกี่ยวกับการพนันเข้ามายิ่งทำให้งานหดหายกลายเป็นช่วงขาลงของเขาบนเส้นทางวงการบันเทิงไปโดยปริยาย 

    “หลังจากทำ Dance Army ก็มีข่าวเรื่องติดการพนันจนเป็นหนี้ ซึ่งเรื่องจริงคือ เราออกตัวไปใช้หนี้แทนเพื่อนประมาณ 3 แสนบาท อาจจะเป็นจุดนี้ทำให้เราไปพัวพันเรื่องการพนันฟุตบอล และบวกกับตอนนั้นคุยโทรศัพท์กับ พี่โจอี้ แล้วนักข่าวได้ยิน จึงเอาไปตีความเป็นอีกอย่าง ตอนนั้นลงข่าวหน้า 1 แรงมาก แต่สุดท้ายเขาก็แก้ข่าวให้ เราก็ไม่คิดอะไร คิดว่าเป็นวงการบันเทิง 

    พอข่าวนี้ออกมา คนก็นึกว่าเราเดือดร้อนเงิน ทำให้มีคนติดต่อเข้ามาเพื่อจะขอซื้อบริการเพื่อจะให้เงินเรา แต่ผมไม่ได้เดือดร้อน เราเองก็มีพอกินพอใช้ ซึ่งจากข่าวนั้นทำให้สังคมมองเราทางลบไปแล้ว ทุกอย่างโดนเบรกไปหมด พอโดนเบรกเราก็ท้อ เราก็สู้ไม่ไหวกับข่าว ยิ่งแก้ยิ่งพูดก็เหมือนกับยิ่งย้ำ ก็เลยตัดสินใจไปต่างประเทศ”

    กำปั้น กลับมาเป็นข่าวทอล์กออฟเดอะทาวน์อีกครั้ง เมื่อเขาตัดสินใจหวนคืนวงการด้วยการถอดเสื้อโชว์เรือนร่าง แต่การตัดสินใจครั้งนั้น เขารู้สึกว่า “พลาด” จนวันนี้

    “ตอนตัดสินใจถ่ายแบบตอนนั้น เพราะอยากจะกลับเข้าวงการ เราอยากทำงานเพลง ก็เลยมาปรึกษาผู้ใหญ่ เขาก็บอกว่า ตอนนี้เราหลุดไปแล้ว เราต้องสร้างกระแส ตอนนั้นภาพนิกกี้ถ่ายกำลังดัง และดังเร็วมาก เราคิดว่าแค่ฟิตหุ่นถ่ายปุ๊บออกเลย แต่ถ้าละครต้องรอ เพลงก็ต้องไปขาย ก็เลยตัดสินใจถ่าย ไม่ได้คิดอะไร แค่ถ่ายถอดเสื้อเฉยๆ ปรากฏว่าพอถ่ายออกมา ด้วยหัวหนังสือและการโปรโมทของเขา แล้วเขาเขียนว่า “กำปั้น ถ่ายนู้ด” ทำให้คนที่ไม่ได้ซื้อหนังสือ เขาก็คิดว่า เราถ่ายจริง ก็ยิ่งย้ำกระแสตัวเองเข้าไปอีก แต่เราก็ทำอะไรไม่ได้เพราะทุกอย่างถ่ายไปแล้ว ไม่เป็นไรก็เริ่มใหม่”

    การกลับมาสู้และเริ่มต้นใหม่อีกครั้งของ กำปั้น แม้จะไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบและยิ่งใหญ่เหมือนในสมัยยุคเฟื่องฟูดังแต่ก่อน แต่ก็ถือว่า กำปั้น ได้สัมผัสประสบการณ์ยิ่งใหญ่ที่ใครหลายๆ คนฝันอยากจะไปให้ถึงเช่นเดียวกัน แม้ว่าผลจะออกมาไม่ได้เป็นไปตามหวัง แต่เขาก็ถือว่า นั่นคือประสบการณ์ชีวิต

     “ตอนกลับเข้าวงการอีกครั้ง ก็มาออกซิงเกิ้ลเดี่ยว หลังจากโดนยิงตอนที่มีม็อบ ปีนั้นคิดว่าแย่มากหลายๆ เรื่องทั้งเรื่องตัวเอง และคุณพ่อมาป่วยเป็นอัมพาตอีก แต่ก็พอมีจังหวะอยู่บ้าง คือ พอออกซิงเกิ้ลเสร็จ ก็มีโอกาสได้ทำงานกับค่ายเพลงเกาหลีที่ชื่อ “JYP” ก็ได้ร่วมงานกันได้รู้จักกัน แต่ก็มีปัญหาอีก ทำไปได้แค่เพลงเดียว ก็ไม่ได้ทำต่อ ก็เสียดายโอกาสเหมือนกัน ก็ถือว่าเป็นประสบการณ์เล็กๆ” 

    วันนี้ กำปั้น เก็บประสบการณ์ที่ผ่านมาเป็นบทเรียนรู้สอนตัว รอบคอบกับทุกก้าวในการใช้ชีวิต และมองอนาคตให้มากขึ้น โดยเขาวางแผนต่อจากนี้อีก 3 ปีจะขอยุติบทบาทงานเบื้องหน้าในวงการบันเทิงลง และผันไปอยู่เบื้องหลัง พร้อมกับแต่งงานมีครอบครัวทันที หากพบเจอใครที่ถูกใจ

    “ข่าวที่ผ่านมา เรามองเห็นคนภายนอกมีสายตาเปลี่ยนไป คือ คนที่เราไม่รู้จัก เราจะเฉยๆ แต่อย่างแฟนคลับบางกลุ่มหรือคนที่อยู่ในบริษัทที่เขาไม่รู้เรื่องจริงๆ เขาก็อาจจะมองว่าเราว่าเป็นคนอย่างนั้น เราก็รู้สึกไม่สบายใจ ตอนนี้ไม่กลัวอะไรแล้วเพราะเจอเรื่องหนักมาเยอะ พร้อมลุยเต็มที่ ผมไม่ท้อนะ ในความโชคร้ายหลายๆ โอกาสก็เหมือนกับให้เรารู้ ตอนเรามีชื่อเสียง มีเพื่อนเป็นร้อยไม่รู้ว่าใครเป็นใคร แต่ว่าวันที่เป็นขาลงของชื่อเสียง เราก็ได้เจอเพื่อนที่จริงใจ ก็ดีครับได้เรียนรู้ดี เมื่อก่อนเราเป็นคนง่ายๆ ก็เป็นการตัดสินใจของเราเองที่ผิดพลาด แต่ไม่เป็นไร เราก็ทำดีที่สุดแล้ว ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราก็ไม่เป็นไร ตอนนี้ก็สกรีนคนมากขึ้น มองคนให้ละเอียดมากขึ้น ตัดสินใจช้าลง มองถึงอนาคตมากกว่า

    และอยากจะทำงานอีก 3-4 ปี แล้วแต่งงานมีครอบครัว อยากมีลูกครับ นี่คือความฝัน คิดว่าถึงเวลาที่เราต้องมีครอบครัวแล้ว และก็ด้วยวัย เราก็รู้ว่าวงการบันเทิงอยู่ได้ไม่นานขึ้นๆ ลงๆ เราก็ต้องเตรียมใจเผื่อเอาไว้ เราคิดว่าหลังจาก 3 ปีเราก็อยากจะทำงานเบื้องหลังด้านเพลง ด้านเต้น”

     วันนี้ กำปั้น กำลังจะมีผลงานละคร 4 เรื่อง ทางช่อง 3 มาให้ได้ชมกัน ได้แก่ ดาวเคียงเดือน, เสือ, บุษบาหน้าตลาด และบางระจัน รวมทั้ง ภาพยนตร์แนวอีโรติคที่มีชื่อว่า “สาปสมิง” ซึ่งรับบทนักแสดงนำประกบคู่กับ ชาม โอสถานนท์ ซึ่งภาพยนตร์เรื่องนี้ กำปั้น ออกอาการหวั่นใจเกี่ยวกับกระแสของภาพยนตร์เรื่องนี้ว่า จะแรงไม่แพ้ข่าวฉาวที่ผ่านมาหรือเปล่า

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Gallery ที่เกี่ยวข้อง

Comments