จำคุก 4 ปี “เซปิง” ไฮโซดังกับพวกรวม 2 คนหลอกลวงโฆษณา “เฟซออฟ”

จำคุก 4 ปี “เซปิง” ไฮโซดังกับพวกรวม 2 คนหลอกลวงโฆษณา “เฟซออฟ”

       ศาลอาญาสั่งจำคุก 4 ปี “เซปิง” ไฮโซดังกับพวกรวม 2 คนไม่รอลงอาญาฉ้อโกงประชาชน หลอกลวงโฆษณา “เฟซออฟ”ศัลยกรรมไร้รอยเเผล ส่วนหมอมือศัลยกรรมคุก 6 เดือน ให้โอกาสกลับ โทษรอลงอาญา ทนายเล้งขอบคุณศาลสู้คดีมา 5 ปี ชี้คำพิพากษาระบุชัด การกระทำเกินเลยตัวแทนนายหน้า

อ่านข่าวต่อ:นักแสดงสาวเครียดสะสม ศัลยกรรมทำชีวิตพัง !

       เมื่อเวลา 09.30 น.วันที่ 19 กันยายน 67 ที่ห้องพิจารณา 801 ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาคดีฉ้อโกงประชาชน หมายเลขดำ อ.742/2562 ที่ น.ส.กนกวรรณ แสงอรุณ โดยมี น.ส.สายชล ศรีสุข ผู้รับมอบอำนาจ เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง “น.ส.เซปิง ไชยศาส์น” ไฮโซชื่อดัง , นายบทมากร วัฒนะนนท์, บริษัท เอ็ม เอฟ เซอร์เจอรี่ เซ็นเตอร์ จำกัด และ นายกมล พันธ์ศรีทุม ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1-4 ความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงประชาชน, ความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ พ.ศ. 2550, พ.ร.บ.วิชาชีพเวชกรรม พ.ศ. 2525, พ.ร.บ.สถานพยาบาล พ.ศ. 2541 และ พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522

       โจทก์ฟ้องสรุปความผิดว่า ว่า จำเลยทั้งสี่ร่วมกันหลอกลวงโจทก์และประชาชน โฆษณาโครงการเฟซออฟศัลยกรรมอย่างปลอดภัยและต้องไร้รอยแผลเป็นความจริงแล้วจำเลยหาได้มีความสามารถทำศัลยกรรมผ่าตัดใบหน้าให้ได้ผลลัพธ์ตามที่กล่าวอ้าง โดยหลังทำศัลยกรรมกับโครงการ มีรอยแผลเป็น และบวมช้ำเกินร้อยละ 10 จากกรณีร่วมกันประกอบธุรกิจโครงการศัลยกรรม “เฟซออฟ” ขอให้ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยตามความผิดด้วย จำเลยให้การปฏิเสธ

ภายหลังฟังคำพิพากษา นายภิญโญภัทร์ ชิดตะวัน หรือทนายเล้ง ทนายความโจทก์ กล่าวว่า วันนี้ศาลได้ตัดสินว่า “น.ส.เซปิง” เเละนายบทมากร จำเลยที่ 1-2 กระทำผิดตามฟ้อง ใน 3 ข้อหาคือ ฉ้อโกงประชาชน,พ.ร.บ.คอมพิวเตอรฯ เป็นความผิดกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบทให้ลงโทษฐานฉ้อโกงประชาชนลงโทษจำคุก 4 ปี ไม่รอลงอาญา

ส่วนบริษัท เอ็ม เอฟ เซอร์เจอรี่ เซ็นเตอร์ จำกัด จำเลยที่3 ที่เป็นสถานพยาบาล มีโทษปรับ50,000 บาท ฐานโฆษณาเกินจริง ส่วนจำเลยที่4 นายกมลซึ่งมีอาชีพเเพทย์มีโทษจำคุก 6 เดือน ปรับ 50,000 บาทฐานโฆษณาเกินจริง เเต่ศาลให้รอลงอาญามีกำหนดโทษ 2 ปี เนื่องจากเห็นว่าโทษจำคุกเพียง 6 เดือนถือเป็นโทษน้อย เเละนายกมลมีอาชีพแพทย์ที่มีความน่าเชื่อถือและน่าจะทำประโยชน์กับสังคมได้ ดีกว่านำไปจำคุกระยะสั้นให้โอกาสกลับตัว ซึ่งตนก็เคารพคำตัดสินของศาล เเละก็ขอขอบคุณศาลรวมถึง สื่อมวลชนที่ติดตามคดีมาโดยตลอด

นายภิญโญภัทร์ กล่าวต่อว่าคดีนี้ได้ต่อสู้มาอย่างยาวนาน ตั้งเเต่ปี2562 เนื่องจากอยู่ในช่วงโควิดและฝ่ายโจทก์อยู่ต่างประเทศ ในคดีนี้มี น.ส.กนกวรรณฟ้องเพียงคนเดียว แต่ยังมีอีกคดีที่อยู่ในศาลซึ่งจะมีการสืบพยานในปี 2568 และยังมีผู้เสียหายที่รอการดำเนินการอยู่

อย่างไรก็ตามศาลได้มีคำวินิจฉัยไว้น่าสนใจว่า การดำเนินการดังกล่าวไม่ใช่ตัวแทนนายหน้า เกินเลยกว่าความเป็นตัวแทนนายหน้า ซึ่งศาลได้ลงโทษในฐานฉ้อโกง,พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ รวมถึงการโฆษณาเกินจริง โดยในคดีนี้ถือว่าโทษสูงที่สุด จากคดีที่ได้ยื่นฟ้องไปส่วนที่ผู้เสียหายยื่นฟ้องเพียงคนเดียวเเต่ศาลกลับลงข้อหาฉ้อโกงประชาชนได้ เพราะศาลเห็นว่าเป็นการใช้สื่อออนไลน์ในการเผยแพร่ ศาลได้หยิบยกในส่วนนี้มาทำให้ชัดเจนและเป็นข้อกฎหมายที่ชัดเจนอยู่แล้วว่าถ้าเป็นการเผยแพร่ต่อสาธารณชนเป็นการฉ้อโกงประชาชนได้ แม้จะมีผู้เสียหายเพียงคนเดียวก็ตาม.