เปิดใจที่แรก “ไอด้า ไอรดา” คุณแม่สุดสตรองของ “ลัลลาเบล” (1)
เป็นเวลานานแล้วที่ผู้เขียนประสงค์สัมภาษณ์ “ไอด้า ไอรดา” นางแบบคุณแม่ลูกหนึ่ง ที่ต่อสู้ชีวิตผ่านมรสุมอาการเจ็บป่วยอย่างเข้มแข็ง ในมุมมองของผู้เขียนเธอคือนักสู้ในโลกของความเป็นจริง และสามารถดูแลเลี้ยงลูกให้เติบโตได้อย่างเต็มภาคภูมิ นั่นก็คือ น้อง “ลัลลาเบล”
อ่านข่าวต่อ:“ไอด้า” สุดทนหลังอ่านข้อความ “ได๋ ไดอาน่า” ลั่น! ยอมมา .
ด้วยเทศกาลวันแม่ดังนั้น “ดาราเดลี่” จึงสัมภาษณ์พิเศษเปิดใจ “ไอด้า ไอรดา” คุณแม่สุดสตรอง โดยผู้เขียนขออนุญาตแบ่งเป็นสามตอน ถึงประสบการณ์การเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวแบบล้วงลึกกันเลยทีเดียว
ตอน 1 มรสุมไทรอยด์เป็นพิษ
Q : ทราบว่าเคยเจ็บป่วยช่วงตั้งครรภ์ ผ่านเรื่องนี้มาได้อย่างไร
ไอด้า : ตอนนั้นจริงๆ เหมือนเราเป็นไทรอยด์เป็นพิษตั้งแต่แรก แต่ว่าเราไม่รู้ตัวเพราะไม่เคยตรวจ มาตรวจเจอตอนที่ไปตรวจครรภ์พอดี เลยแจ็คพอตว่าเป็นไทรอยด์เป็นพิษด้วย แล้วตอนนั้นที่ท้องร่างกายอ่อนแอมาก เหมือนโรคกำลังกำเริบเลยค่ะ ตาโปน ผอม แล้วน้ำหนักลงไปเหลือ 36 กิโลกรัม แล้วด้าเป็นคนทานยากด้วย ไม่กินผัก เลือกมาก เนื้อสัตว์ กินยากไปหมด ทำให้เหมือนครรภ์ไม่โตค่ะ ด้วยความที่ปกติไทรอยด์เป็นพิษ เค้าจะให้รักษาหาย 2 ปีก่อนที่จะมีการตั้งครรภ์ได้ แต่เรามาตรวจเจอตอนที่ตั้งครรภ์พอดี ไม่รู้จะทำยังไง ตอนนั้นน้ำหนักไม่ขึ้นเลย 6 เดือนแรก แล้วหมอบอกว่ามันเป็นอันตรายต่อเราด้วย
อาจจะต้องมีการยุติการตั้งครรภ์เราจะเอายังไง แต่ตอนนั้นเราสู้ใจเราสู้มาก เพราะว่าเรารู้สึกว่าเค้ามาโดยที่เราไม่ได้ตั้งตัว ไม่ได้เตรียมตัวด้วย เลยเชื่อว่าเค้าน่าจะต้องพร้อมมากๆ เค้าถึงมา เราก็คุยกับที่บ้าน ทุกคนสู้ เลยบอกคุณหมอไปว่า เราจะสู้ให้ถึงที่สุดแต่ถ้าวันนึงมันเกิดไม่ไหวแล้ว มันจะมีอันตรายต่อเรา ต่อตัวคุณแม่ค่ะ คือให้สิทธิ์หมอในการตัดสินใจเรื่องยุติการตั้งครรภ์เลย
ณ ตอนนั้นที่คุยกับคุณหมอน่าจะประมาณสัก 3 เดือน เราเลือกที่จะสู้ก่อน แล้วสุดท้ายก็กิน กินทุกอย่างคือพยายามยัดทุกอย่างเลย อะไรที่ทำได้ อะไรที่ฝืนพยายามหมด ประมาณเดือนที่ 6 น้ำหนักถึงเพิ่งเริ่มขึ้น แล้วภายใน 3 เดือนคือขึ้นไปได้ 15 โล สุดท้ายน้องก็ออกมาแข็งแรง ปลอดภัยมาก
Q : อยากให้เล่าประสบการณ์การเลี้ยงลูก
ไอด้า : ประสบการณ์การเลี้ยงลูกถ้าเอาหนักๆ ก่อนเลยคือเราโชคร้ายมาก คือเหมือนว่าวิสัญญีแพทย์เค้าบล็อกหลังผิด เหมือนมันต้องจิ้มเข็มเดียวแล้วอยู่เลย แต่ไอด้าโดนประมาณ 3-4 เข็ม ทำให้น้ำไขกระดูกสันหลังไอด้ารั่ว พอคลอดมาปุ๊ปมันเลยเกิดเรื่องคือลุกไม่ได้ ต้องนอนราบอยู่ประมาณ 3-5 วัน
ต้องกินน้ำวันละ 3 ลิตร แล้วก็ปัสสาวะ อุจจาระทุกอย่างอยู่บนเตียง ทรมานมาก แล้วมันเหมือนแบบถ้าแค่เราผงกหัวขึ้นมาก็ปวดหัวเหมือนจะระเบิดเลย อันนี้คือหนักสุดในชีวิตแล้วตอนนั้น เรางงมากว่าทำไมถึงมีอาการอย่างนี้ ทำให้ตอนที่เราต้องให้นมลูกมันไม่สามารถให้ได้ ต้องพยายามทำทุกอย่าง ให้ตัวเองลุกไหวแล้วไปให้นมลูก เพราะว่าที่โรงพยาบาลที่คลอด เค้าจะไม่ให้อุ้มเด็กออกมาที่ห้องคุณแม่ด้วย คุณแม่ต้องเดินไปที่ห้องให้นม
เค้าทำอย่างนี้เพื่อที่ว่าอยากจะให้แม่มีการเดินหรือออกกำลังกายให้แผลมันปิดเร็วและไม่เป็นพังผืด ซึ่ง 3 วันแรกไอด้าลุกไม่ได้เลย ลูกไม่ได้กินนมเลยจนพี่พยาบาลมาปั๊มออกจากเต้าให้ แล้วเราก็นอนอยู่อย่างนั้น จนวันที่ 4 เริ่มดีเพราะว่าเราพยายามกินน้ำวันละ 3 ลิตร แต่ยังเจ็บแผล แล้วปวดหัวมากแต่ต้องลากสังขารไปเพื่อให้ลูกได้กินนม อันนี้คือเป็นเหตุการณ์ที่หนักมากที่สุดแล้ว อย่างอื่นคือไม่มีอะไรหนักเท่าแล้วค่ะ
ถ้าเป็นเหตุการณ์สนุกๆ ช่วงลูกเล็กๆ เลยนะคะ เหมือนตอนนั้นน่าจะประมาณสัก 5-6 เดือนลูกเค้าจะชอบให้โยน โยนแล้วก็รับ เล่นกับลูกโยนรับ โยนรับ กันสนุกสนาน แล้วมันมีจังหวะที่รับลูกลงมาแล้วอุ้มแค่ขา แล้วน้องยังแบบตัวอ่อนไงคะ ขามันพับลงมา คือตัวก็พับ หน้าฟาดลงมาที่โต๊ะแบบเต็มๆ เลยแบบแรงมาก แล้วคือลูกร้องไห้แต่คือเราอ่ะขำมาก เพราะว่าจังหวะมันเหมือนซิทคอม กำลังหัวเราะอยู่ดีๆ แล้ก็รับลงมาปุ๊ป นางก็ขาพับหน้าฟาดโต๊ะเลยอะไรอย่างนี้ สงสารลูกมากนะแต่ขำมากค่ะ แล้วมีอีกเหตุการณ์นึงที่แบบนี้แหละ เล่นกันอยู่บนเตียง เราก็ใช้เตียงแบบที่เป็นฐานไม้แบบเตี้ย เพราะกลัวลูกตกเตียง
แล้วบังเอิญว่าขอบเตียงมันยังมีความแหลมเหลืออยู่ค่ะ ทีนี้ช่วงที่เค้ากำลังเห่อการขึ้นลงเตียง เพราะว่านางคลานเป็นแล้ว ก็คลานขึ้นลงวันนึงเป็น 20 รอบ แล้วเราด้วยความพ่อแม่ก็ขำ นั่งดูลูกอยู่บนเตียง ก็นั่งเมาท์ลูก อุ้ยดูสิขึ้นเป็นปุ๊ปก็ขึ้นใหญ่เลย ปรากฏว่าหันมาอีกทีคือหน้าเจาะเตียงไปแล้ว หัวแตก คราวนี้คือกรี๊ดกันลั่นบ้าน ลูกแบบเลือดทะลัก แล้วก็จากขำๆ อยู่คือร้องไห้เลย วิ่งพาลูกไปโรงพยาบาล วุ่นวายไปหมด คือมันจะตลกที่เราเล่นกับลูกแล้วเราชอบเผลอลืมดูลูก แล้วน้องเจ็บตัวตลอดเลย
อีกเหตุการณ์ที่อันนี้ส่วนตัวมองว่าสนุกนะคะ คือเวลากินนมช่วงนี้ที่ฟันใกล้จะขึ้นนางจะเข็ดฟันมาก แล้วนางจะกัดหัวนมเรา คือกัดแบบหน้าสั่น ขยี้เอาเหงือกขยี้บด แล้วดึงด้วย เป็นเหตุการณ์ที่เราต้องลุ้นทุกครั้งที่จะเอาลูกเข้าเต้า วันนี้จะโดนมั้ย วันนี้จะหนักมั้ย หรือวันนี้จะแบบโหดร้ายขนาดไหน แต่มันเป็นเหตุการณ์ที่ทำให้เราขำทุกครั้งเลยค่ะเวลาให้ลูกกินนมช่วงนั้น เพราะว่าเราจะคอยดูปฏิกิริยาเค้า จะแบบมีการเข็ดฟันขนาดไหน เป็นเรื่องที่มาเมาท์ต่อกันกับเพื่อนก็ตลกค่ะ
Q : เลี้ยงลูกสาวอย่างไร มีคนช่วยเลี้ยงไหม ตีลูกบ้างไหม
ไอด้า : ถ้าช่วงเล็กๆ ก็เลี้ยงเองก็อยู่ค่ะ ช่วงหลังคลอดก็อยู่กับลูก 24 ชั่วโมง ไม่ได้รับงานเลย ก็อยู่เค้าตลอดเวลา ถามว่าเลี้ยงยากมั้ย ลัลาเบลเป็นเด็กที่เลี้ยงไม่ยากเลย เพราะว่าเค้าค่อนข้างที่จะเข้าใจง่าย อาจจะด้วยสัญชาตญาณความเป็นแม่ลูกด้วยค่ะ เราเก็ทเค้าว่าต้องการอะไร ร้องอย่างงี้หิวนม ร้องอย่างงี้แพมเพิร์สเต็ม อย่างเดียวที่ยากคือไม่นอนแค่นั้นเอง เป็นเด็กนอนน้อยมาก คือพอหลับปุ๊ปเราจะบิดลูกบิดประตู แค่เราบิดกิ๊กเดียวเค้าก็ตื่น
แล้วก็ช่วงโตมาหน่อยก็จะมีพี่เลี้ยงค่ะ เพราะว่าเป็นช่วงที่จะต้องรีบออกไปทำงานแล้ว ไอด้าจะมีพี่เลี้ยง 2 คน เพราะว่าต้องพานางไปด้วยก็คือประกบกันไปตลอด กะเตงลูกไปเพราะว่าเราไม่กล้าที่จะปล่อยเค้าไว้คนเดียว เพราะตอนนั้นคือพอมีน้องไอด้าก็ย้ายบ้าน ออกมาซื้อบ้านตัวเองค่ะ แล้วตอนช่วงแรกคุณพ่อยังไม่มาอยู่ด้วยมีแค่เรากับลูก 2 คน เลยมีพี่เลี้ยง 2 คน มาคอยช่วยดูค่ะ เวลาไปทำงานก็กะเตงไปด้วยตลอด ก็เลี้ยงเหมือนเพื่อนเลย ไอด้าเลี้ยงแบบให้เค้าได้แบบไปเจออะไรเอง ทำอะไรเอง แล้วเราไม่ค่อยโอ๋ลูกนะ ลัลลาเบลก็เป็นเด็กที่ค่อนข้างเข้าใจเรื่องราวเค้าใช้ชีวิตง่าย โชคดีมากค่ะ อาจจะด้วยที่เราพาเค้าไปด้วยตลอด เค้าก็ได้เห็นได้เจอผู้ใหญ่เยอะ ได้เห็นว่าเราทำงานเป็นยังไง ไม่ต้องมานั่งอธิบายอะไรเยอะเลย แล้วก็เป็นเด็กที่โตกว่าวัยแบบมากๆ เลยทำให้มันเหมือนเพื่อนกัน
เค้าจะมีความคิดเป็นของตัวเองค่อนข้างมาก ลัลลาเบลจะเป็นเด็กที่มีความเป็นตัวของตัวเองสูงมาก เป็นเด็กดีที่ถ้าสมมุติว่าไม่มีเหตุผลมายันเค้า เค้าจะไม่ฟัง แล้วพอมาตอนคุณพ่อย้ายมาอยู่บ้านด้วยแล้ว เค้าค่อนข้างที่จะติดคุณป๊าเหมือนกันค่ะ จะช่วยกันดูเนี่ยแหละ
ส่วนเวลาแบบดื้อใช่มั้ยก็จะมีบ้างที่อย่างเมื่อก่อนอะดื้อ ไอด้าตี เคยตีค่ะ ก็ตีแล้วก็บอกว่าที่ตีเพราะว่าแบบเรื่องนี้คือเค้าดื้อมาก แล้วเรามีการตักเตือนไปหลายรอบมากแล้วเค้าไม่ปรับปรุงเลย เราไม่รู้จะทำวิธีไหน อันนี้ก็เหมือนเป็นทางเลือกว่าเราลองตีนะว่าเค้าจะโอเคไหม เค้าจะเข้าใจเรื่องนี้มากขึ้นไหม แต่เค้าก็เคยมาบอกเราว่าเค้าเสียใจแล้วเค้าไม่ชอบให้เราตีเค้า
เค้าอยากให้เราบอกเค้าดีๆ ถ้าเราคุยกันดีๆ เค้าจะฟังเรามากกว่า อันนี้คือเค้ามาบอกเราเองเลยนะว่าวิธีตีใช้ไม่ได้ผลกับเค้า เราเลยมาทำการตกลงกันว่าโอเคต่อไปนี้หม่าม้าจะไม่มีการตีหนู แต่ลัลลาเบลต้องฟัง ถ้าสมมุติว่ามีการดื้อเกิดขึ้นหรือว่าไม่เชื่อฟังเกิดขึ้นแล้วหม่าม้าเตือนปุ๊ป ลัลลาเบลต้องฟังเหมือนกันคือเราต้องมาคุยกันด้วยเหตุผลนะ พอเราทำข้อตกลงกันทุกอย่างก็ดีขึ้น เวลาดื้อถ้าไอด้าพูดเค้าจะหยุดฟัง เหมือนเราเข้าใจกันเพราะไม่งั้นถ้าวิธีนี้ไม่ได้ผลเราอาจจะต้องกลับไปใช้วิธีตีนะ เราจะมีการคุยกันแบบนี้เหมือนเป็นการแบบขู่ ๆ เฉย ๆ แหละ ประมาณนี้อะค่ะ”