เจาะลึกชีวิต “คริส พีรวัส” ที่บางเรื่องแฟนคลับยังไม่รู้
เป็นอีกหนึ่งหนุ่มที่ตอนนี้ฮอตแบบสุดๆ สำหรับ “คริส พีรวัส แสงโพธิรัตน์” ที่เรียกได้ว่า ไม่ว่าจะไปทางไหนก็จะมีแฟนคลับตามให้กำลังใจอยู่ตลอด ซึ่งวันนี้ทาง “ดาราเดลี่” ได้มีโอกาสพูดคุยกับหนุ่ม “คริส” ไม่พลาดที่จะถามถึงชีวิตของเขาตั้งแต่จุดเริ่มต้นของการทำงานในวงการทำงาน โดยเขาเองได้เผยให้ฟังอย่างละเอียดว่า
Q : นิยามความเป็น “คริส พีรวัส”
A : “คริส พีรวัส” คงเป็นกตัญญู พูดมาก เฟรนด์ลี่อะไรประมาณนั้นมั้ง แบบอยู่เฉยๆ ไม่ค่อยได้ ต้องทำอะไรตลอดเวลา แต่เรื่องความกตัญญูเป็นสิ่งหนึ่งที่หัวใจสำคัญ ถ้าเรารู้บุญคุณ เราจะเจอ เราจะได้อะไรกลับมา
Q : จุดเริ่มต้นของ “คริส พีรวัส”
A : จุดเริ่มต้นของคริส คือตอนเด็กๆ เคยเป็นนักแสดง แต่ไม่ได้เป็นตัวสำคัญอะไร เป็นตัวประกอบบ้าง เป็นเมนเอกซ์ตราบ้าง เพื่อนพระเอกบ้างอะไรแบบนี้ ที่แรกที่ไปเล่นให้คือกันตนา เป็นที่แรกเลย อยู่มาตั้งแต่มัธยมต้น น่าจะแบบว่า 3 ปี เล่นให้เขา 3 ปี แล้วก็เรียนการแสดงกับเขาด้วย ได้เกียรติบัตรด้วย โน่นนี่นั่นอะไรเยอะแยะไปหมด แต่ก็ไม่เคยได้แบบเป็นที่จำอะไร แล้วก็มีโฆษณาตอนเด็กๆ บ้าง ใช่ครับ แต่มันก็หายไปนานเลย เพราะว่าพอเริ่มโตขึ้นเราก็เริ่มเปลี่ยนไปชอบดนตรี กลับมาได้ยังไงเนี่ย ตอนมหาวิทยาลัย และเหมือนว่ามีภาพยนตร์เรื่องหนึ่งเรียกเราไปแคสต์ แต่ว่าเราไม่สนใจ เราไม่เอาแล้ว แต่ว่าเหมือนเขามาบอกว่าภาพยนตร์เรื่องนี้มันเกี่ยวกับดนตรี เราก็เลยจริงเหรอ พระเอกเป็นยังไง เขาบอกพระเอกเป็นมือกล้อง เราก็มันตรงกับที่เราถนัด และเราก็ชอบด้วย สุดท้ายก็ผ่านครับ ได้ลองกลับเข้ามาอยู่ในกองถ่ายอีกครั้งหนึ่ง ตอนนั้นอยู่ประมาณปี 2 และหลังจบก็จะมีโมเดลลิ่งของหลายๆ คนในกองนั้นขอคอนแทคเราไปก็เรียกไปแคสต์โน่นแคสต์นี่เยอะแยะไปหมดเลย ประมาณ 30 งานได้ หลังจากที่ปิดภาพยนตร์เรื่องนั้นไป แต่ไม่ได้เลยสักอัน ได้มาประมาณอันที่ 29 30 อันท้ายๆ แล้ว เป็น “โซตัส” นี่แหละ อันเดียวเลยที่ได้ ทำให้คัมแบ็คอีสเรียลของจริง
Q : ครั้งแรกที่ Casting สำเร็จ
A : จริงๆ “โซตัส” ครั้งแรกก็จะไม่แคสต์แล้วนะ เพราะไปแล้วจิตใจมันก็นึกว่าคงไม่ได้แน่ๆ รองเท้าจอดอยู่แบบ 300-400 คู่ 400 กว่าคน แต่พอถึงเรากลับรู้สึกดี เพราะเหมือนเขารอเราอยู่ ไปถึงปุ๊บเขาบอกน้องคริสใช่ไหมครับ ทั้งที่แบบว่าทั้ง 400 คนเขาจำชื่อไม่ได้ทุกคน แต่เขาจำชื่อเราได้ ก็ให้เราขึ้นไปกรอกใบสมัคร แล้วก็เหมือนมีการลัดคิวบ้าง ซึ่งอันนี้เราไม่รู้เหมือนกันนะ เหมือนไปแล้วได้รอแป๊บเดียว และเราเข้าไปแคสต์เลย พอแคสต์ออกมารีแอ็คแรกของคนแคสติ้งก็เหมือนจะโอเคกับเรา เหมือนให้ความหวังเราเบาๆ เขาบอกเดี๋ยววันนี้เย็นหรือไม่พรุ่งนี้จะโทรไป แต่พอจบไปไม่ถึงชั่วโมง โทรมาเลยให้พรุ่งนี้มาอีกรอบหนึ่งเป็นรอบสุดท้าย
พอไปถึงก็เจอ 3 คนจาก 700 กว่าคนในการแคสต์ทั้งหมด แล้วก็เจอ “พี่สิง” ด้วยอยู่ในนั้น วันนั้นเขาจะเลือกหนึ่งคน ที่จะมี 1 คนที่ได้แสดงกับ 2 คนมันจะไม่มีการสลับกันครบทุกคน ซึ่งในวันนั้นจะให้ “คริส” เป็นคนแคสต์ให้กับทั้ง “พี่สิงโต” และกับอีกคนหนึ่ง ใช่ครับ คริสได้เลยกับทั้ง 2 คนเลย ตอนแรก “พี่สิงโต” ได้เล่นเป็นคนสุดท้าย เหมือนเขาจะเล็ง “คริส-สิง” ไว้ตั้งแต่แรกแล้ว ให้เล่นกับอีกคนหนึ่งก่อนแล้วก็ไปแล้วก็มาเป็น “พี่สิง” นานมาก รู้สึกเขาจะแบบให้สลับบทกันไม่หยุดเลย ตอนแรกเป็น “ก้องภพ” “พี่สิงโต” เป็น “อาทิตย์” สลับกันไปมาตลอด และให้อิมโพรไวส์บทตอนทั้งสั่งกะเพราแล้วก็พี่อาทิตย์สั่งไข่เจียวตอนนั้นก็จะเป็น “พี่สิง” สั่งไข่เจียว แล้วก็กินเผ็ดไม่ได้ พี่อาทิตย์แซว “ก้องภพ” ว่าทำไมกินแต่ไข่เจียว กินจืด โตขนาดนี้แล้วยังกินเผ็ดไม่ได้ อะไรแบบนี้ ไอ้เราต้องโดนเขาแซว เราเป็น “ก้องภพ” ในตอนนั้น ก็อิมโพรไวส์ไป แต่สุดท้ายเขาก็บอกวันนั้นเลยว่า เลือกแล้ว ได้แล้ว แต่ยังไม่สรุปว่าใครจะเป็น “อาทิตย์” ใครจะเป็น “ก้องภพ” แต่เลือกแล้วว่าสองคนนี้แหละ จะเป็น “อาทิตย์” กับ “ก้องภพ” แต่ก็ยังเลือกไม่ได้ ใช้เวลานานมาก เราตอนนั้นอยากเป็น “ก้องภพ” นะ เพราะรู้สึกว่ามันเหมือนเรามากกว่าในความยียวนกวนประสาท ความแบบก็เอาเรื่องได้อยู่เหมือนกันอะไรแบบนี้ เรารู้สึกว่าเวลาเราว้ากเราไม่ได้โหดมาก แต่เวลาเรากวนจะค่อนข้างกะล่อนมากระดับหนึ่ง ก็เลยคิดเอาเองว่าเราน่าจะเหมาะกับ “ก้องภพ” มากกว่า สุดท้ายผู้กำกับฯ ก็ลงล็อกให้เราเป็น “อาทิตย์” ด้วยเหตุผลสั้นๆ ง่ายๆ ว่าคริสตัวใหญ่กว่าสิงโต ก็เลยเป็น “พี่อาทิตย์” ดูเป็นรุ่นพี่ จบ เหตุผลอะไรวะเนี่ย
Q : ความเชื่อของ “คริส พีรวัส”
A : คือมันเป็นความเชื่อนะ คือจริงๆ เราก็เป็นคริสเตียนด้วย เราก็แบบว่าเราอธิษฐานมาตั้งแต่เด็กว่าขออะไรก็ได้ที่มาช่วยให้ครอบครัวเราสบายสักที อะไรแบบนี้ เราอธิษฐานมาตลอดทุกคืนตั้งแต่เด็กอะไรแบบนี้ แล้วก็มีอยู่วันหนึ่งป๋าเอาอันนี้มาให้ใส่ กำไลอันนี้ พอดีป๋ามีโอกาสได้ไปทำงานกับเหมือนเป็นคิงออฟคัมบูเดีย หรืออะไรแบบนี้ เหมือนเขาได้มีโอกาสไปร่วมงานด้วย แล้วเขาก็ให้มา 2 เส้น เขาก็บอกว่าเนี่ยปลุกเสกเลยนะ ใส่แล้วการงานดีมากอะไรแบบนี้ คริสก็ใส่กับป๋า 2 เส้น คือของป๋ากับคริสมันคืออันเดียวกันนะ แต่ของป๋าดำทั้งอันแล้ว ใส่ตลอดเหมือนกันเลยทั้งคู่ ใส่อาบน้ำ ทุกอย่าง แต่ของป๋าคือเส้นนี้ดำหมดเลย แต่ของเราเนี่ย นี่เราสายมูนิดหนึ่งนะเนี่ย แต่เราใส่อันนี้มาตลอดแล้วก็ยังคงเป็นสีเงินแบบนี้ เราใส่ตอนแคสต์โซตัสพอดี ใช่ครับ ใส่ตอนแคสต์โซตัสพอดีเลย ตอนว้าก จริงๆ ตอนว้ากเขาไม่ให้ใส่เครื่องประดับด้วยนะ ไอ้นี่ก็ซ่อนเก็บเข้าไปเพราะไม่ถอด ก็ได้แคสต์โซตัส ก็เลยเชื่อนิดหนึ่ง รู้สึกว่าอันนี้เป็นเครื่องรางที่พ่อให้ด้วย มันก็ของสำคัญ ก็ใส่ตลอดไม่เคยถอดเลย หาโอกาสถอดได้น้อยมาก หายไปทีนี่รู้สึกแย่มาก เคยหาไม่เจอก็พลิกแผ่นดินหาจนเจอ
Q : เด็กเสิร์ฟอาหารในร้านชื่อดัง
A : เราแบ่งเบาภาระมาตลอด เพราะเรารู้ว่าครอบครัวเราเป็นยังไง เราก็รู้ว่าเรามีปัญหาด้านการเงินอะไรแบบนี้ ผมเป็นเด็กเสิร์ฟตั้งแต่ม.3 นะ เป็นร้านอาหารชื่อดังด้วย ถ้าพูดชื่อไปก็รู้จักเลย แต่ไม่พูดดีกว่า เพื่อนในหมู่บ้านเขาเป็นลูกชายเจ้าของร้าน แล้วก็ขนเพื่อนกันไปตอนปิดเทอม เราก็ขอไปด้วย ทำได้อยู่อาทิตย์หนึ่งโดนไล่ออก เขาบอกไม่ต้องมาแล้วนะน้องอะ พรุ่งนี้น้องไม่ต้องมาแล้ว คือเราดื้อไงด้วยความที่เราเห็นอะไรที่มันไม่ถูกต้องแล้วเรายอมไม่ได้ อะไรแบบนี้ มันจะมีความแบบเขาจะมีความเสียดายผักตกแต่งจานที่มีตกแต่งตามปลากะพงทอดน้ำปลาก็จะมีผักตกแต่ง ซึ่งตรงนั้นไม่มีใครกินส่วนใหญ่เขากินปลาเสร็จเขาจะไปกินอย่างอื่นแล้วอะไรอย่างงี้ เขาจะเอาอันนั้นมาใช้ต่อ เราเห็นว่ามันไม่ควรไง เราก็เอาไปทิ้ง ใช่เขาเอามาเวียนต่อ ผมก็แบบโอ้โหร้านอาหารตั้งหรู แพงก็แพง เอามาเวียนต่อเรารับไม่ได้เลย ก็เอาไปทิ้งๆ ทิ้งเสร็จปุ๊บ ผู้จัดการเดินมา ใครมันเอามาทิ้งเนี่ย ผมครับ เหรอ บอกแล้วไงว่าให้เก็บไปใช้ต่อ คือเขาจะมีอบรมพนักงานทุกเช้า เขาจะพูดอยู่แล้วอธิบายอยู่แล้วว่าจะทำแบบนี้ พรุ่งนี้น้องไม่ต้องมาแล้วนะ ผมก็โกรธมาก โกรธแบบอะไรเนี่ยฉันทำถูกต้องมาบอกให้ไม่ต้อง มา ก็ได้ตังค์แค่ 800 บาท ทำตั้งเดือนหนึ่ง ทำตั้งเดือนหนึ่งได้มา 800 โคตรขี้โกง
Q : สมัยเรียนเคยทำธุรกิจขายตรงด้วย
A : ตอนเรียนมหาลัยทำขายตรงนะ คุณมีเวลาว่างสัก 2-3 ชั่วโมงไหม ผมทำจนเซียนเลยอะ คือเอาจริงๆ นะการที่แบบพูดกับคนเก่ง แล้วก็เอาใจคนเก่งก็ฝึกจากการทำอะไรพวกนี้เลย ใช่ฝึกมาจากอะไรแบบนี้เลย เราชอบด้วย จริงๆ คิดว่าถ้าไม่เป็นดาราคงเป็นอะไรพวกนี้ ไม่ขายตรงก็โบรกเกอร์อะไรบางอย่าง คือชอบทำงานชอบคุยกับคนโน้นคนนี้ หาเงินเอง ตอนนั้นก็ส่งเรียนเองเลย จ่ายค่าเทอมเองด้วย เราก็เลือกทำ ทำได้อยู่ประมาณเทอมหนึ่ง ก็ต้องเลิกแล้ว เพราะว่าชีวิตเราหายไปเลย เราก็เริ่มรู้สึกแล้วว่าถ้าเรายังทำอยู่แบบนี้ ชีวิตมหาลัยเราจะไม่มีอะไรเลยนะ นอกจากเรียนและทำงาน เพราะไปไหนกับเพื่อนไม่ได้เลย คริสเรียนตอนเย็นเป็นคนเรียนภาคพิเศษใช่เปล่า เรียน 4 โมงถึงตอนประมาณทุ่มหนึ่ง ทุ่มหนึ่งต้องเข้าออฟฟิศและไปฟังการบิ๊ว ฟังอบรม ไปฟังถึงประมาณเที่ยงคืนจากช่องนนทรี ต้องกลับมาที่ม.เกษตร ต่อมาส่งอินเตอร์เน็ตที่ต้องบอกว่ามีเวลาว่างประมาณ 2-3 ชั่วโมงไหม ส่งถึงตี 5-6 โมงเช้าอะ ทุกวัน ทุกวันจริงๆ แล้วค่อยกลับไปนอน ซึ่งเราก็เรียนเย็นไง นอน 7 โมงเช้าตื่นบ่าย 3 ได้สบาย แล้วก็ไปเรียนต่อ 4 โมงครึ่ง มันก็วนลูปอยู่แบบนี้ แล้วเราขายดีมากเลยนะ คือด้วยความที่เราทำแบบนี้ คือมีตังค์จ่ายค่าเทอม มีตังค์ไปเที่ยว มีตังค์เปย์เพื่อนเลยตอนนั้น แล้วสุดท้ายไม่ไหวแล้ว ไม่ไหวจริงๆ มันไม่มีอะไรเลยก็เลยเลิก
Q : หน้าที่หัวหน้าครอบครัว
A : จริงๆ ในบ้านคริสจะมีน้องสาวคนเล็ก ทุกคนจะคิดอยู่แล้วว่าพ่อแม่จะต้องตามใจน้องสาวมากสุด พี่ชายสองคนจะต้องโอ๋น้องมากแน่ๆ ไม่จ้ะ คริสเองนี่แหละเป็นเด็กเอาแต่ใจที่สุดในบ้าน บางทีน้องสาวยังต้องยอมเราเลย เราเป็นคนดุที่สุดในบ้านเลยนะ เป็นคนจริงจัง ชอบซีเรียส ทั้งๆ ที่บ้านเราสายเฮฮามากเลยนะ ป๋าคริสตลกมาก แต่เราชอบซีเรียส บางทีจะชอบสั่งน้องเรา พ่อแม่คริสชิวมากเลยนะ แม่คริสจะชิวน้อยสุดแต่ก็จะประมาณหนึ่ง แต่คริสจะไม่ชิวเลย จะไม่ชอบให้น้องกลับบ้านดึก จะไม่ชอบให้น้องใช้เงินเยอะเกิน ตอนนี้กลายเป็นเปลี่ยนวิธีการเลี้ยงดูของบ้านใหม่หมดแล้ว ว่าต่อไปนี้แคทต้องขึ้นตรงกับคริสคนเดียว (น้องสาวชื่อแคท) ขึ้นตรงกับคริสคนเดียว ไม่ต้องขอเงินแม่แล้ว ค่าขนมไม่ต้อง มาขอที่คริสคนเดียว คริสจะควบคุมเอง ถ้าวันไหนสมมติกลับดึก เดือนหน้าจะตัดเงินอะไรแบบนี้ เพราะแคทจะชอบกลับดึกมากพอเข้ามหาลัย บางทีตี 2 กลับมา คริสโมโหมากพอรู้ว่าน้องกลับตี 2 อะไรแบบนี้
ตอนเรียนเราก็กลับดึกอย่างงี้ไง แล้วเราก็ไปซ่าไปโน่นไปนี่แล้วเราก็กลัวว่าน้องจะทำตัวแบบเรา เราก็ดุน้องมาก บอกแม่ว่า ถ้าแคทกลับดึกนะให้โทรมาบอกคริสเลย มาฟ้องเลย แล้วถ้าเกิดไปแอบขอเงินป๋า ไปแอบขอเงินแม่นอกรอบมาบอกเลยนะเดี๋ยวจะไม่ให้เลย กลายเป็นตอนนี้แคทจะอยู่ในความดูแลของเราเต็มที่มากๆ หวงมาก ทุกคนต้องตามใจเราถ้าเราอยากได้อะไร เราเองเป็นคนงอแงแบบมีเหตุผลนะในบ้าน ทุกอย่างเพื่อความหวังดีทั้งนั้น ตอนแรกอาม่าไม่อยากมีคนดูแล เพราะเขาเป็นคนหัวโบราณมาก เขาจะขี้บ่น พูดจาไม่ดีนึกออกไหม คนสมัยก่อน จะแทบไม่มีใครอยู่กับเขาได้เลย เขาก็รู้สึกว่าเขาไม่อยากมีคนดูแล ทุกคนก็ลงเสียงกันแล้วว่าไม่ต้องมี ป๋ากับพี่สาวพ่อจัดการกันเอง คริสกลับมาจากต่างประเทศนะ พอคริสเห็นสภาพอาม่าแบบเดินไม่ค่อยได้นะ หยุด! มีคนดูแล้ว แล้วตอนนี้ก็มีแล้ว จะให้มีก็คือต้องมี หามาให้ได้ คือคริสไม่ได้จริงๆ อย่าชิว คริสไม่ชิว ก็เป็นแบบนั้น พี่ชายไปเที่ยวกลางคืนบางครั้งขับรถไปเราก็โทรหา บางทีมีอารมณ์ที่เราเป็นน้องแต่ดุพี่เราก็มี
Q : “คริส พีรวัส” ในอนาคต
A : เป็นคนวางแผนตลอดบางทีอาจจะถ้าเป็นงานแกรมมี่ เป็นงานในวงการจะไม่ค่อยจัดระเบียบอะไรกับมัน เพราะเรารู้ว่ามีคนจัดระเบียบให้เราอยู่แล้ว แต่ถ้าทุกอย่างที่มันเป็นครอบครัว มันเป็นชีวิตตัวเองเราจะวางแผนให้ดี เพราะเรากลัวมาก เคยเจออะไรที่มันผิดพลาดจากการวางแผนไม่ดีมาแล้ว เป็นเรื่องของคุณพ่อคุณแม่แหละ ที่วางแผนการใช้เงิน เพราะมันผันแปรตามเศรษฐกิจด้วย มันก็เลยพลาด เราก็ไม่อยากพลาดแบบนั้นอีก มีบทเรียนมาแล้ว
